รัฐบาลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเห็นชอบขึ้นค่าไฟฟ้าอีกครั้ง ด้วยการปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที เป็นอัตราเดียวกันที่ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2566

ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ คิดในอัตราดังกล่าวเหมือนกันหมด

กกพ.ระบุด้วยว่าการขึ้นค่าไฟฟ้าครั้งนี้ ได้พิจารณาหนังสือยืนยันจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถึงความเหมาะสมของอัตราค่าไฟฟ้า 4.77 บาทต่อหน่วยแล้ว

เป็นอีกภาระของประชาชนต้องแบกรับค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น จะส่งผลต่อค่าครองชีพสูงขึ้นไปอีก

จากเดิมค่าเอฟทีงวดเดือนม.ค.-เม.ย.2566 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยอยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย หรือเฉลี่ยรวมที่อัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย

ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น คือภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ภาคบริการ ค่าเอฟทีของเดิมอยู่ที่ 154.92 สตางค์ต่อหน่วย หรือเฉลี่ยที่ 5.33 บาทต่อหน่วย

แต่สำหรับในงวดใหม่ที่จะเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค.-ส.ค.2566 ที่เป็นอัตราเดียวกันนั้น ทำให้ค่าไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยปรับขึ้นอีก 0.05 บาทต่อหน่วย ขณะที่ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม บริการ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยจะถูกลง 0.56 บาทต่อหน่วย

จึงเกิดคำถามอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำ ทำไมภาคครัวเรือนต้องเสียค่าไฟฟ้าในอัตราเดียวกับภาคธุรกิจที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าแตกต่างกันมาก

ต่อความเดือดร้อนดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อ้างถึงต้นทุนการผลิตต้องนำเข้าพลังงานราคาแพง รวมถึงการบริหารจัดการที่ซับซ้อน ตลอดจนสัญญาค่าผูกมัดหลายอย่างที่ทำกันมานานแล้ว ซึ่งไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดต่อสังคมเท่าที่ควร

ด้านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงมีข้อเสนอให้ทบทวนมติกกพ.ขึ้นค่าไฟฟ้า โดยขอให้ต่ำกว่า 4.40 บาทต่อหน่วย ในอัตราเดียวกันทั้งภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม เนื่องจากกังวลค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นมีผลต่อความสามารถการแข่งขันของประเทศ

พร้อมทั้งเตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ให้ปรับลดค่าไฟฟ้าเป็น 4 บาทต่อหน่วย หรือต่ำกว่า ซึ่งขณะนี้มีหลายพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศเสียใหม่

ดังนั้น เรื่องนโยบายพลังงาน โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้า จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจของประชาชนในวันเลือกตั้งอันใกล้นี้