บทบรรณาธิการ – ค่าบทเรียน กกต.
เมื่อวันที่ 20 เมษายน ศาลจังหวัดฮอด เชียงใหม่ พิพากษาคดีแพ่ง กรณีนายสุรพล เกียรติไชยากร อดีตส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเจ้าหน้าที่รวม 14 คน
เพื่อเรียกค่าเสียหายและเยียวยาฐานทำให้เสียชื่อเสียง ภายหลังจากเมื่อเดือนกันยายน 2563 ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องคดีบูชาเทียนเพื่อทำบุญวันเกิด 2,000 บาท ว่าไม่ใช่การซื้อเสียงหรือทุจริตเลือกตั้งเมื่อปี 2562
โดยศาลจังหวัดฮอดพิพากษาให้นายสุรพล ชนะคดี พร้อมสั่งให้ กกต.จ่ายค่าเสียหายเยียวยา พร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านบาท
จากนี้ไปต้องรอภายใน 1 เดือนว่า กกต.จะยื่นอุทธรณ์หรือไม่
ตามขั้นตอน ถ้าไม่อุทธรณ์ ต้องยื่นเรื่องไปยัง กกต.และกรมบัญชีกลางในฐานะกำกับดูแลงบประมาณ กกต. ให้ชำระค่าเสียหายและเยียวยาตามศาลสั่ง
หากอุทธรณ์ ต้องรอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาวินิจฉัยตามลำดับ เนื่องจากศาลแพ่งระบุ กรณี กกต.วินิจฉัยให้ใบส้มแก่นายสุรพล ซึ่งเป็นนักการเมืองคนแรกที่ได้รับใบส้ม จน กกต.จัดเลือกตั้งใหม่
ใบส้มคือ ไม่ประกาศผลหลังชนะเลือกตั้ง สั่งเลือกตั้งใหม่ โดยตัดสิทธิ์ลงแข่งขัน
ส่งผลให้น.ส.ศรีนวล บุญลือ ผู้สมัครส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เวลานั้น ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.แทนนายสุรพล ต่อมา น.ส.ศรีนวลย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
ทำให้นายสุรพลไม่ได้กลับมาทำหน้าที่เป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
กรณีดังกล่าว ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อนายสุรพล ถูกประชาชนดูหมิ่นเกลียดชัง เสื่อมเสียชื่อเสียงจากการถูก กกต.ประทับตราบาป กล่าวหาทุจริตซื้อเสียง
ทั้งยังส่งผลต่อการเมืองภาพใหญ่ ที่นอกจากน.ส.ศรีนวล ผลเลือกตั้งใหม่ครั้งนั้นทำให้ต้องคำนวณ ส.ส.พึงมีแต่ละพรรคใหม่ นำมาสู่การที่พลังประชารัฐได้ส.ส.เพิ่ม 1 คน คือ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี และประชาธิปัตย์ 1 คน คือ น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร
กล่าวถึงการทำงานของ กกต.ชุดนี้ มีข้อครหามาตลอดตั้งแต่จัดเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกเดือนมีนาคม 2562 ทั้งสูตรคำนวณพิสดาร ส.ส.ปัดเศษ บัตรออกลูก บัตรเขย่ง ฯลฯ
ล่าสุดกรณีแจกใบส้มนายสุรพล ที่ศาลฎีกายกฟ้อง ศาลจังหวัดฮอด สั่งชดใช้ค่าเสียหาย 70 ล้าน
ในที่สุดคงหนีไม่พ้นเงินภาษีประชาชน ที่ต้องนำมาจ่ายเป็นค่าบทเรียนความผิดพลาดราคาแพงของ กกต.ครั้งนี้