จับอุณหภูมิความร้อนแรงผ่านข้อความในกลุ่มไลน์พรรคการเมืองเก่าแก่ สะท้อนถึงอาการหวาดหวั่นขวัญเสียของเหล่าบรรดาสมาชิกพรรคไม่ว่ากรรมการบริหารพรรค ส.ส. หรืออดีตส.ส.
ต่อกรณีอดีตรองหัวหน้าพรรค ถูกแจ้งความกล่าวโทษตกเป็นผู้ต้องหาคดีข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจารหญิงสาวหลายราย
หลังเกิดเรื่อง ถึงแม้นักการเมืองคนดังกล่าวจะประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรค และ ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคในเวลาต่อมาแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนกระแสกดดันต่อพรรคการเมืองที่เคยสังกัด
นอกจากจะไม่เบาบางลง ยังขยายวงเพิ่มความหนักหน่วงมากขึ้น
โฆษกพรรคดังกล่าวแถลงเรียกร้องให้สังคมแยกแยะว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัว ผิดหรือไม่ ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม
พรรคจะไม่เข้าไปก้าวล่วง ทั้งสนับสนุนให้ตำรวจดำเนินการอย่างเต็มที่ เพราะคนคือตัวปัญหาเป็นผู้กระทำ หากกล่าวหาพรรคก็ไม่เป็นธรรมต่อพรรค ไม่เป็นธรรมต่อคนดีคนที่ตั้งใจทำงานในพรรค
ปรากฏว่าคำแถลงของโฆษกพรรคนอกจาก ไม่ช่วยให้สถานการณ์กระเตื้อง ยังทำให้สังคมขุ่นเคืองมากขึ้นด้วยซ้ำไป ดังนั้น การที่คนในพรรคจะพูดอะไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ สมควรคิดตรึกตรองให้ดีเสียก่อน ต้องจับอารมณ์คนส่วนใหญ่ในสังคมให้ถูก
ไม่ใช่เอะอะก็โยนว่าเป็นเรื่องทางการเมือง ซึ่งผลที่ตามมาชี้ว่า ยิ่งสร้างปัญหาหนักหน่วงมากขึ้น
ความรับผิดชอบของพรรคควรมีมากกว่านั้นหรือไม่ ไม่ใช่เฉพาะคนนอกทั่วไป คนในพรรคทั้งที่เป็นส.ส. อดีตส.ส.หลายคนก็ตั้งคำถามเดียวกัน
ตอนนี้กำลังจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และส.ก. อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเลือกตั้งทั่วไป ถ้าผู้บริหารพรรคเพิกเฉย ไม่แสดงจุดยืนท่าทีชัดเจนกว่าที่ทำอยู่คือการพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค
เช่นนี้ย่อมมีผลต่อผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.และผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคที่ต้องได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรก ก่อนจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคในลำดับถัดไป
ข้อเสนอให้พรรคมีมติขับ พร้อมออกแถลงการณ์ขอโทษสังคมเป็นทางการ ถือเป็นทางออกหนึ่ง แต่ต้องรีบทำ อย่าให้เนิ่นนานไปกว่านี้
ไม่เช่นนั้นคำขอโทษที่ล่าช้า จะกลายเป็นเปล่าประโยชน์ไป