ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ร่วม แสดงความคิดเห็นต่อนโยบายกัญชาของรัฐบาล หลังกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศปลดพ้นบัญชียาเสพติด
ย้ำว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ มีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทมากมาย โดยเฉพาะสารที่ทำให้เคลิบเคลิ้ม เกิดการดื้อยา ถอนยา และอยากยาจนไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ ยังเป็นการให้โทษที่ส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ จึงต้องมีกฎหมายควบคุม เพราะการใช้ในปริมาณมาก ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ ส่งผลเสียต่อสุขภาพแบบเรื้อรังได้
หากใช้ในทางการแพทย์ต้องใช้โดยอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ และระมัดระวัง เพราะมีเพียงไม่กี่ภาวะที่น่าจะบรรเทาได้ด้วยสารกัญชา เช่น ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด โรคลมชักที่ดื้อต่อการรักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยบางประเภท
ขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างการพิจารณากฎหมายนี้ในชั้นกรรมาธิการ ที่ต้องเชิญแพทย์ นักวิชาการ นักฎหมาย ตลอดจนสหวิชาชีพต่างๆ มาให้ความเห็นอย่างรอบด้าน
แถลงการณ์ของทั้ง 2 องค์กรดังกล่าว ได้แสดงความเป็นห่วงว่ากฎหมายควบคุมการปลูกและการใช้กัญชาที่ย่อหย่อน จะส่งผลเสียร้ายแรงต่อสังคมตามมา
การป่วย พิการ เสียชีวิตจากกัญชาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะเป็นพิษจากกัญชาที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วน อุบัติเหตุจราจรจากการเมากัญชา และจำนวนผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังอาจเพิ่มจำนวนผู้เสพติดมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่น ผู้ผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคที่มีส่วนผสมสารกัญชาจะแข่งกันเพื่อให้ผู้ใช้ยึดติด โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสุขภาพผู้บริโภค
ที่น่าห่วงใย ก็คือการเล็งผลเลิศว่าจะใช้กัญชากระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดให้ชาวต่างประเทศเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทยจำนวนมากๆ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สัมผัสและดื่มด่ำประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาในพื้นที่ถูกกฎหมายเหมือนบางประเทศ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ต้องระมัดระวังผลเสียหายอีกด้านจะตามมาเช่นกัน
กัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชาที่มีสารเสพติดในปริมาณมาก จะต้องควบคุมเพื่อไม่ให้ใช้ในทางที่ผิด ในส่วนที่ใช้ในทางการแพทย์ก็ต้องเข้มงวดเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาลอย่างแท้จริง
การมองประโยชน์ในด้านที่เป็นคุณ นำมาสู่การปลดล็อกเป็นกัญชาเสรี ถือเป็นความก้าวหน้าทันสมัย แต่ต้องไม่ละเลยมองไม่เห็นด้านโทษด้วยเช่นกัน