นักโภชนาการ แนะ ตั้งสติก่อนกิน หลังราคาสินค้าปรับขึ้น ขณะที่บะหมี่ซองจ่อปรับเพิ่มขึ้นด้วย ชี้ หากมีสมาชิกครอบครัวเกิน 5 คน ทำกินเองประหยัดกว่า
วันที่ 18 ส.ค.2565 นายสง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย กล่าวถึงกรณีสินค้าหลายรายการทยอยปรับขึ้นราคา ล่าสุดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะมีการปรับขึ้นราคา ว่า ไม่ว่าจะขึ้นราคากี่บาทล้วนกระทบถึงคนมีรายได้น้อย ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3 ซอง หากปรับขึ้นราคา สมมติ 2 บาท ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 6 บาท หรือ 1 เดือนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 24 บาท
นายสง่า กล่าวต่อว่า เมื่อต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านอาหารเพิ่มสูงขึ้น ก็ต้องคิดและพิจารณาเรื่องของการใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนด้านอาหารให้ดี และปรับตัวเพื่อความอยู่รอด หากพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ ตัวอย่าง 500 บาทต่อวัน ค่าอาหารเฉลี่ย 30% ก็เท่ากับ 120 บาท หารด้วย 3 มื้อ ก็ตกมื้อละ 40 บาท ซึ่งยังพอที่จะเป็นข้าวราดแกงได้
“การที่จะมุ่งเน้นแต่ประหยัด ทานแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว ก็เท่ากับร่างกายคนเรารับแต่คาร์โบไฮเดรต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่ากับข้าวเปล่า แต่กินได้ไม่เบื่อเหมือนข้าว เพราะใส่สารปรุงแต่ง ชูรสชาติหรือใส่กลิ่นเนื้อ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น หากต้องการรับประทานบะหมี่ซองเหล่านี้ ควรเติมเนื้อสัตว์หรือโปรตีน อย่างไข่ไก่หรือผักลงไป เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารครบ 5 หมู่ แต่ก็จะทำให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้น ตกเฉลี่ยมื้อละ 15-20 บาท ก็ยังมีราคาถูกกว่าข้าวราดแกง” นายสง่า กล่าว
นายสง่า กล่าวอีกว่า เมื่อต้นทุนอาหารปรับเพิ่มขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำได้แค่ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ตั้งสติก็รับประทานอาหาร ยิ่งราคาอาหารเพิ่มขึ้น ก็ไม่ควรทานแบบสุรุ่ยสุร่าย หรือทานแบบสิ้นเปลือง ยิ่งหากในครอบครัวมีสมาชิก 5 คนขึ้นไป การปรุงอาหารเองช่วยประหยัดเงินและค่าใช้จ่าย และยังสามารถจัดเป็นปิ่นโตมารับประทานเป็นอาหารกลางวันได้
นายสง่า กล่าวด้วยว่า ต้องมีการปรับทัศนคติ จากการหิวน้ำแต่ไม่ดื่มน้ำ กลับเลือกดื่มกาแฟ ซึ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านอาหารก็จะต้องเพิ่ม 30 บาท จากแค่น้ำเปล่าธรรมดาราคาแค่ 7 บาทเท่านั้น ดังนั้นเมื่อวิกฤตด้านอาหารต้องตั้งสติ และแก้ที่ตัวเราก่อน ของแพงก็ต้องอยู่รอด