แม้ว่าสิวจะมีหลายสาเหตุ แต่เมื่อแพทย์เห็นว่าฝั่งซ้ายของใบหน้าหญิงสาวมีสิวขึ้นมากกว่าฝั่งขวา ก็เริ่มคาดเดาสาเหตุได้ทันที
ดร.ฮั่ว จวงเจี๋ย ชาวไต้หวัน ได้แบ่งปันกรณีนี้ในรายการโทรทัศน์ โดยเล่าว่านักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่เรียนไกลบ้านและอาศัยอยู่ในหอพัก พบว่าตนเองมีปัญหาสิวที่รุนแรงขึ้น เธอตั้งคำถามว่า “ตอนมัธยมปลายสิวไม่เคยขึ้นหนักขนาดนี้ ทำไมพอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยสิวจึงแย่ลงมาก?”
ดร.ฮั่ว จึงตอบไปว่า ปัจจัยที่ทำให้สิวรุนแรงขึ้นมีหลายอย่าง เช่น การกินอาหารไม่เป็นระเบียบ การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการไม่ล้างหน้า แต่เมื่อเห็นว่าสิวขึ้นหนักบริเวณด้านขวาของใบหน้ามากกว่าด้านซ้าย จึงสันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก “ปัจจัยเฉพาะที่”
ดร.ฮั่วจวงเจี๋ย ถามด้วยความสงสัยว่า “คุณนอนตรงไหน? และไม่ได้ซักปลอกหมอนมานานแค่ไหนแล้ว?” นักศึกษาหญิงจึงนึกขึ้นได้ว่าเธอซักปลอกหมอนเฉพาะเมื่อกลับบ้านในช่วงวันหยุด ซึ่งเท่ากับไม่ได้ซักมาประมาณ 1 ปี
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงตำหนิว่าหากไม่ซักปลอกหมอนบ่อย ๆ มันจะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวบนใบหน้า ยิ่งไม่ได้ซักมานานถึง 1 ปี ก็ “ไม่ต่างจากการกอดโถส้วมทุกคืน”
ผลการวิจัยระดับนานาชาติ ระบุว่า หากปลอกหมอนไม่ได้รับการซักภายใน 1 สัปดาห์ จะมีปริมาณแบคทีเรียสะสมมากกว่าบนโถส้วมถึง 17,000 เท่า ซึ่งเท่ากับว่าคุณกำลัง “นอนบนโถส้วมวันละ 8 ชั่วโมง”
ดร.ฮั่ว อธิบายว่า สำหรับแบคทีเรีย ปลอกหมอน ถือเป็น “แหล่งเพาะพันธุ์” ที่อุดมด้วยสารอาหาร เพราะทุกคนมีเซลล์ผิวที่ลอกหลุดบนใบหน้าทุกวัน รวมถึงรังแคจากหนังศีรษะ บางครั้งอาจมีเหงื่อ น้ำลาย ความมันบนผิวหน้าและหนังศีรษะ หรือการล้างเครื่องสำอางไม่หมด ซึ่งทำให้ปลอกหมอนกลายเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงแบคทีเรียอย่างดีเยี่ยม
ดังนั้น ดร.ฮั่ว แนะนำว่าควรซักปลอกหมอนทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามันง่าย หรือผู้ที่ใช้ครีมบำรุงผิวและแต่งหน้า ควรเปลี่ยนปลอกหมอนทุกสัปดาห์เพื่อรักษาสุขภาพและความสะอาดให้คงอยู่เสมอ