คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมายาวนานมาก สำหรับนักแสดงคนเก่ง ต่าย-นัฐฐพนท์ ลียะวณิช ที่ตอนนี้พัฒนาตัวเองจากการเป็นนักแสดง มานั่งแท่นผู้จัดละคร รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายแบบที่เรียกว่าไฟแรงไม่แผ่ว อย่างล่าสุดในฐานะผู้จัดละคร ต่าย ก็เสิร์ฟความแซ่บให้แฟนๆ ในละครสุดเข้มข้นซับซ้อนซ่อนเงื่อน เรื่อง “เรือนร่มงิ้ว” ออกอากาศทางช่อง 8 ไม่กี่ตอนก็ได้รับการตอบรับจากแฟนๆ อย่างล้นหลาม ความเข้มข้นทำเอาแต่ละคนแทบละสายตาไม่ได้
งานนี้ sanook.com ไม่พลาดขอคว้าตัวผู้จัดคนเก่งคนนี้มาพูดคุยกันถึงละครสุดแซ่บเรื่องนี้ พร้อมกับเปลือยชีวิตแบบหมดเปลือก ทั้งเรื่อง วงการ การทำงาน คำวิจารณ์ และ ความรัก ซึ่งหนุ่มต่ายเองก็พูดคุยเปิดอกกันแบบไม่กั๊ก จะเป็นยังไงไปดูกันเลย
ฟีดแบ็ค “เรือนร่มงิ้ว” เป็นยังไงบ้าง?
“ค่อนข้างดีมากเลย ผมก็ดีใจ เวลาเราดูละครทางไลฟ์เราก็จะเป็นคอมเม้นต์ของคนดูด้วย ส่วนใหญ่คนจะอินกับเรื่อง อินกับสถานการณ์ อินกับตัวละคร เราก็ดีใจที่เห็นว่าคนดูเขาคอยติดตามกันจริงๆ ครับ”
ทำไมถึงหยิบเอาเรื่องนี้มาทำละคร?
“จริงๆ ผมเป็นคนชอบเรื่องของ “ภาคินัย” อยู่แล้ว และเป็นคนชอบนิยายสืบสวน เลยคิดว่าอยากทำเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องที่มีความน่าติดตามมาก พอนำมาทำเราก็มีการนำมาปรับกับทีมเขียนบทแต่ให้อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ของตัวนิยายเดิมครับ”
การทำงานเรื่องนี้มีตรงไหนที่ยากเป็นพิเศษไหม?
“เรื่องนี้โชคดีที่ได้ทีมดีมากๆ โปรดิวเซอร์เก่ง ผู้กำกับ ทีมงาน ทีมนักแสดงดีและน่ารักกันทุกคน ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ ทำให้ทุกอย่างไม่ได้ยากลำบากมาก อีกอย่าง คือ ทีมเสื้อผ้าทำเสื้อผ้าออกมาได้สวยมาก ต้องเรียกว่าลงตัวเลยครับ อย่างตัวนักแสดงทุกคนที่มารับบทต่างๆ เขาก็มีความเหมาะกับบทมาก เวลาเรามานั่งเช็กเทปที่เขาเล่นมาทำให้เราเชื่อได้เลยว่าเขา คือ ตัวละครนั้นจริงๆ”
เป็นพีเรียตที่มีเรื่องราวของ ชาย รัก ชาย ด้วย การสื่อออกมายากไหม?
“ผมว่ามันดีนะ ผมชอบ เป็นอะไรที่ใหม่ คนอาจจะรู้สึกว่า หนังวาย ซีรีส์วาย มันจะเป็นอะไรที่วัยรุ่น แต่อันนี้จริงๆ เป็นแกนเรื่องของความรัก สิ่งเหล่านี้เราเชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าไม่ได้ถูกหยิบยกมานำเสนอ เพราะอาจจะด้วยข้อจำกัดต่างๆ เรื่องสังคมที่อาจจะยังต้องปกปิด ต้องซ่อนเร้น แต่จริงๆ แล้วเรื่องความรักเป็นเรื่องที่เรากำหนดไม่ได้หรอก”
“ตัวละครคุณหลวงเขาก็มีทั้งเรื่องภาพลักษณ์ หน้าที่ สังคมมองว่าต้องมีภรรยา ต้องแต่งงาน มีพ่อบังคับให้มีทายาทเพื่อสืบทอดมรดก แต่ใจเขาเองเขารักกับชายผู้เป็นบ่าว ตัวบ่าวเองก็รับใช้คุณหลวงมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยรับรู้หรอกว่าความรัก คือ อะไร อยู่บนคำว่าหน้าที่มาตลอด พอวันนึงมาเจอนางเอกถึงได้รับรู้ว่ามัน คือ ความรักที่แท้จริง ก็เลยเกิดเรื่องอิรุงตุงนังกัน”
“ผมว่าเดี๋ยวนี้ความรักมันไม่ได้มีรูปแบบเหมือนสมัยก่อน ตอนนี้ความรัก คือ รักกันที่จิตใจ รักกันที่ความรู้สึกมากกว่า ร่างกาย หรือ กายภาพจะเป็นยังไงมันไม่เกี่ยวแล้ว”
ฉากเลิฟซีนร้อนแรงมากเลย คนดูว่ายังไงบ้าง?
“ดุเดือดนะครับ (หัวเราะ) เบื้องหลังวาบหวิวกว่านี้อีกนะ แต่เราก็ตัดมาเท่าที่เหมาะสม ต้องขอบคุณ กอล์ฟ อนุวัฒน์ กับ พี่อั๋น วิทยา นี่เป็นเรื่องแรกเลยนะที่แกยอมเล่นแบบนี้ ต้องขอบคุณมากเลย และถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก แต่จริงๆ ฉากเลิฟซีนเราไม่ได้ตั้งใจจะให้มองว่าเป็นความโป๊ หรือ เซ็กอะไร แต่เป็นการเล่าถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร สื่อถึงความรักที่มีตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะถ้าความรักเพียวๆ มันจะไม่นำพามาซึ่งความไร้สติของคน ก็เลยต้องเล่าซีนเหล่านี้ออกมาให้เห็นว่านี้แหละ คือ เรื่องของตัณหา อยากได้ อยากมี อยากครอบครองที่นำมาซึ่งหายนะ”
“อยากให้ติดตามกันเพราะเรื่องจะเข้มข้นไปเรื่อยๆ ผมว่ามันพีคทุกตอนเดี๋ยวมีรุ่นลูกที่ต้องมาสืบความจริงอีก ติดตามกันได้ยาวๆ เลย แกนของเรื่องที่อยากจะสื่อ คือ ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่สิ่งที่ตามมากับความรัก ทั้งเรื่องตัณหา เรื่องความอยาก ของแต่ละคน มันนำมาซึ่งความพินาศ เราต้องแยกแยะให้ออก เพราะถ้าเราปล่อยมันไปมันอาจจะไม่สวยงามตามที่ควรจะเป็นอีกแล้วครับ”
“ผ่านงานเบื้องหลังมาหลายเรื่องแล้วเข้าที่เข้าทางหรือยังในฐานะ “ผู้จัดละคร” ?
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 แล้วในฐานะผู้จัด ผมว่ายังต้องเรียนรู้อีกเยอะ แต่ละวันก็เจอปัญหาที่ไม่เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ปัจจัยหลายๆ อย่าง การทำงานกับคนเราคาดการไม่ได้แน่นอน เพราะเขาไม่ใช่เครื่องจักร ต้องปรับไปเรื่อยๆ แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย สนุกมาก และสิ่งที่ฟินที่สุด คือ ผลงานออกมาแล้วคนดูแฮปปี้ครับ”
“ผมรู้สึกว่าตัวเองเลือกถูกนะ ที่ลองหันมาจับงานด้านนี้ ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคน ทุกช่องที่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำละครออกมาตั้งแต่ก้าวแรกเลย”
ตั้งแต่เป็นนักแสดงมาถึงการเป็นผู้จัด รวมแล้วอยู่ในวงการมากี่ปี?
“ผมเข้าวงการตั้งแต่อายุ 16 ตอนนี้ 40 แล้ว (หัวเราะ) ก็อยู่มาประมาณ 24 ปี”
24 ปี ในวงการ มุมมองของเรากับวงการเปลี่ยนไปมาน้อยแค่ไหน?
“โอ้ย! โลกมันเปลี่ยนไปมาก ผมรู้สึกโชคดีที่เกืดมาในยุคนั้นนะ เพราะถ้าเกิดยุคนี้ผมว่าผมไม่น่าจะได้ทำงานในวงการ (หัวเราะ) ยุคนี้การแข่งขันสูง และเด็กมีความสามารถมาก บอกตรงๆ ว่าเราสู้เด็กสมัยนี้ไม่ได้จริงๆ รวมทั้งตัววงการเองก็เปลี่ยนไป ในเรื่องของงบประมาณ หรือ รายได้ มันก็เปลี่ยนไปด้วย สมัยยุคผมรู้สึกว่ารายได้มันฟูเหลือเกิน”
“20 ปีที่แล้ว ขนาดคนที่ไม่มีชื่อเสียงถ่ายโฆษณาทีได้ครึ่งแสน ส่วนสมัยนี้ผมเองที่ทำบริษัทผลิตโฆษณาด้วยก็ต้องบอกตามตรงว่าค่าตัวก็ลดลงมากเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่เรื่องศักยภาพคนดีขึ้นมาก ผมว่าก็เป็นการเรียนรู้ในทุกๆ วัน ไม่ได้ซ้ำซากจำเจ”
ย้อนไปตอนเป็นพระเอกดัง ตอนนั้นได้ทำวีรกรรมอะไรไว้บ้างไหม?
“ผมเป็นเด็กแย่มาก (หัวเราะ) มองย้อนกลับไปแล้วก็ เห้อ! จริงๆ ผมเป็นคนมีโอกาสที่ดีนะ เริ่มแรกผมไม่ได้เข้าวงการจากการเป็นพระเอกมาเลย มาจากการเป็นตัว 5 ตัว 6 แล้วสมัยนั้นพอถ่ายละครแล้วต้องรอละครออนแอร์ก่อน จะไม่ได้เล่นละครติดๆ กันเลย ช่วงรอก็ไปเป็นวีเจบ้าง ไปทำงานคลื่นวิทยุบ้าง ก็เรียกว่าแสบอยู่ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราอยากทำงาน ดีเจคนไหนไม่มาเราก็รับแทนเขาหมด แต่บางทีรับจนลืม ลืมว่าเป็นคิวจัดรายการ ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการจัดรายการผ่านโทรศัพท์ (หัวเราะ)”
“ความแสบของผมยังมีอีกหลายเรื่องต้องถามทางผู้จัด ถ้าให้เล่าน่าจะยาว สมัยก่อนเคยถ่ายละครเรื่องนึง อยู่ดีๆ โทรศัพท์มือถือหายในกองถ่าย เราเองเป็นคนค่อนข้างชัดเจน มันจะเป็นไปได้ยังไงโทรศัพท์มาหายในกองถ่าย ผมสั่งพักกองเลย บอกว่าต้องหาให้เจอ ถ้าหาไม่เจอผมจะไม่ถ่ายต่อ ทุกคนก็ตกใจ แต่เชื่อมั้ย ก็เจออยู่ในกระเป๋าทีมงานคนนึงเฉยเลย แต่พอโตมาย้อนกลับไปมองก็รู้สึกว่าเป็นการกระทำที่เลวร้ายนะ อยู่ๆ สั่งพักกองเอง หยุดกองด้วยตัวเอง (หัวเราะ) ต้องขอโทษผู้จัดทุกคนเลยนะครับ ผมเกเรไปบ้าง แต่โตมาก็ไปไหว้ขอโทษทุกคนแล้ว”
มีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับวงการบ้างไหม?
“ในวงการไม่มีส่วนใหญ่ผมโชคดีที่เจอแต่คนน่ารัก มีแต่เคยจัดงานแล้วเขาไม่จ่ายตังค์ (หัวเราะ) วงการบันเทิงสำหรับผมผมว่าไม่ได้น่ากลัวเหมือนภาพในละครขนาดนั้น ผมว่ามันก็เป็นสังคม สังคมนึง สังคมก็มีทั้งสังคมที่ดี และ ไม่ดี อาชีพอื่นๆ ก็เช่นกัน มีทั้งคนดีและไม่ดี ทุกที่ ทุกอาชีพ ไม่มีที่ขาวทั้งหมด หรือ ดำทั้งหมด โชคดีที่ผมอาจจะอยู่ในโซนขาวหน่อย”
โดนวิพากษ์วิจารณ์หนักๆ บ้างหรือเปล่า?
“โดนๆ หลายเรื่อง เรื่องเกย์ เรื่องโน่น นี่นั่น แต่จริงๆ ผมเข้าใจตลอดนะ หน้าที่ของคนมันเป็นเรื่องปกติ อย่างนักข่าวต้องมีคอนเท้นต์ทุกวัน ส่วนดาราก็อยู่กองถ่ายทุกวัน เราทำงาน 7 วัน เราจะไปสร้างเรื่องที่ไหน การที่มีกระแส หรือ คนอยากฟัง อยากรู้เรื่องของใครสักคน เขาก็ต้องมีประเด็นคำถามเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ ผมว่าเป็นหน้าที่ของงานแต่ละงาน ผมก็โดนกระแสมาบ้างตามยุค ตามสมัย แต่ก็ไม่ได้เครียดมาก ตอนเด็กๆ อาจจะมีรู้สึกเสียใจมากกว่ากับการที่คนอื่นมองเราจากสิ่งที่เขาอาจจะยังไม่ได้รู้จักเราจริง อาจจะด่วนตัดสินเกินไป แต่พอโตมาก็ไม่ได้คิดมากอะไรแล้ว”
อย่างเรื่องเกย์ก็มีมาตลอดเหมือนกันใช่ไหม?
“มีตลอดๆ ตอนเด็กจะโดนเยอะ แต่พอโตมาไม่ค่อยมีแล้ว เพราะคนที่เข้ามารู้จักผมจริงๆ จะรู้ว่าผมเป็นยังไง แต่ผมชิลล์มากนะไม่ได้คิดมากอะไร ตอนเด็กๆ อย่างที่บอกอาจจะมีคิดมากบ้าง แต่ช่วง 10 ปี หลังมานี้ผมค่อนข้างจะนิ่งมาก ทุกสิ่งจะใหญ่ หรือ เล็กอยู่ที่การให้ความสำคัญของเราเองมากกว่า ถ้าเรารู้สึกว่ามันใหญ่มาก รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจกับมัน จริงๆ เรื่องราวทั้งหมดมันเท่าเดิมนั่นแหละ เราให้ค่า และ ขยายมันให้ใหญ่เอง “
“ผมเคยโดนโกง จัดงานให้ลูกค้า 7 ล้าน แต่เขาไม่จ่ายเงิน เป็นคนสนิทมาจ้างงานเราแต่ไม่จ่าย ถ้าผมเอาแต่โฟกัสกับสิ่งที่เสียไปจนไม่ได้ไปทำงานอย่างอื่นที่ให้ความเจริญกับชีวิตเราเลย บางทีผมอาจจะไม่ได้ก้าวในก้าวต่อไปก็ได้ วันนั้นคงถอดใจไปแล้ว ตอนนั้นเราก็หาวิธีที่จะเอาเงินคืนไม่มากก็น้อย ขณะเดียวกันเราก็ต้องเดินต่อ ก็เป็นเรื่องที่เราต้องบริหารจัดการให้ได้ เพราะชีวิตมันก็ คือ การเรียนรู้ในทุกๆ วัน”
“ทุกวันนี้เวลามีคนตั้งกระทู้ มีกระแสมาถามอย่างเรื่องเกย์ หรือ เรื่องอะไรผมก็ต้องบอกว่าก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณนะครับ ที่อย่างน้อยก็ยังมีชื่อของผมอยู่ในใจ หรือ อยู่ในความสนใจ ไม่ว่าเขาจะอยากรู้เรื่องดี หรือ ไม่ดี อย่างน้อยเขาก็ยังนึกถึงเรา ถ้าเขาไม่ถามอะไรเลย หมายถึงเราหายไปแล้ว ผมพยายามมองในแง่ดีมากกว่าครับ“
จะเป็นอะไรไหมถ้าวันนี้ขอขออนุญาตถามสิ่งที่คนยังสงสัยว่าจริงๆ แล้วเราชอบ ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ?
“ก็ชอบผู้หญิงครับ (หัวเราะ) จริงๆ ผมไม่ได้ยึดติดนะ ถ้าให้ตอบวันนี้ก็ต้องตอบว่าชอบผู้หญิง แต่ก็ไม่รู้นะถ้าวันนึงอยู่ดีๆ เป็นซีรีส์วายก็ไม่รู้นะ เพราะอย่างที่บอกมันอยู่ที่ความสบายใจ ความสุข แต่ในวันนี้ถ้าจะมีแฟนก็อยากมีเป็นผู้หญิง เราก็อยากมีครอบครัว เห็นคนเขามีลูกกันก็คงเป็นอะไรที่เติมเต็มเราไปอีกแบบ หรือ ว่ามีคนดูแลในครอบครัว แต่จริงๆ ผู้ชายก็ดูแลได้ แต่สิ่งที่ตอบโจทย์สำหรับผมตอนนี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นการมีครอบครัวมีลูก น่าจะเป็นความสุขอีกอย่างที่เราอยากมีแค่นั้นเองครับ”
ตอนนี้มีแฟนหรือยัง?
“ไม่มีเลย (หัวเราะ) จริงๆ อยากมีแล้วนะ เพราะมาคิดตอนนั้นเราป่วยคนเดียว คุณแม่ต้องมาเฝ้า แม่ก็อายุมากแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าอยากมีใครสักคนเหมือนกัน แต่ถามว่าซีเรียสไหมก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น แค่มีมองๆ เรื่องนี้บ้าง ส่วนจะต้องเป็นคนแบบไหนคงต้องเป็นคนที่ทำงาน มีแนวคิดคล้ายๆ กัน แต่อาจจะต้องเป็นคนตลกกว่าผมหน่อย (หัวเราะ) เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยฮา”
สุดท้ายอยากฝากอะไรกับแฟนๆ ไหม?
“อยากฝากให้ช่วยติดตามละคร เรือนร่มงิ้ว ครับ ช่วงนี้ออกไปไหนไม่ได้ก็เปิดทีวี เปิดไลฟ์ละครดูไปพร้อมๆ กันจะได้มีเพื่อนดูละคร มีเพื่อนคุยด้วยให้หายเครียดครับ ขอบคุณครับ”
คุยกันแบบเต็มอิ่มสุดๆ และบอกได้เลยว่าหนุ่มคนนี้รักความท้าทายในชีวิตเอามากๆ เพราะแบบนี้ทำให้เจ้าตัวไม่เคยหยุดพัฒนาและไม่เคยหมดไฟเลย ยังไงแฟนๆ ก็อย่าลืมส่งกำลังใจให้ผู้จัดคนเก่งกันแรงๆ บอกไว้เลยว่าแผนการทำงานในอนาคตของเขามีความหลากหลาย และเตรียมความสนุกไว้ให้แฟนๆ เพียบ