ทำไม "เจค พอล" ยูทูบเบอร์ จึงเอาชนะน็อคนักสู้มืออาชีพได้?

Home » ทำไม "เจค พอล" ยูทูบเบอร์ จึงเอาชนะน็อคนักสู้มืออาชีพได้?
ทำไม "เจค พอล" ยูทูบเบอร์ จึงเอาชนะน็อคนักสู้มืออาชีพได้?

“ยูทูบเบอร์ เจค พอล ชนะ เบน แอสเครน นักชก MMA ด้วยการน็อกเอาต์ภายใน 2 นาที!”

นี่คือพาดหัวของเว็บไซต์ข่าวระดับโลกอย่าง BBC ที่ประโคมข่าวว่า ยูทูบเบอร์ ขวัญใจวัยรุ่นอย่าง เจค พอล ได้ก้าวข้ามจักรวาลและแสดงความสามารถในการชกมวยจนสามารถเอาชนะนักกีฬาต่อสู้อาชีพได้ 

ความน่าหมั่นไส้ของกองแช่งที่อยากเห็นเขาแพ้ไม่เคยเกิดขึ้นเสียที.. อะไรที่ทำให้เขาเอาชนะและกล้าท้าทายนักชกระดับแชมป์โลกแบบไม่เกรงกลัว?

ติดตามกับ Main Stand ที่นี่..

อยากเห็นผมโดนอัดเหรอ? จ่ายเงินมาสิ

เรื่องราวการขึ้นชกกับนักมวยอาชีพของ ยูทูบเบอร์ คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยกเว้นเสียแต่ว่ายูทูบเบอร์คนนั้นจะดังจริงๆ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ เจค พอล ที่มีผู้ติดตามในแชนแนลมากกว่า 20 ล้านคนได้เปิดตัวบนเวทีผ้าใบที่เต็มไปด้วยเกียรติ และความมานะของเหล่านักชกผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต 

1

ทำไมคนดังถึงได้สิทธิ์ก่อน? คำถามนี้มีคำตอบที่ชัดเจนแบบสุดๆ นั่นคือเมื่อหมดยุคทองของมวยเฮฟวี่เวต อีกทั้งนักชกแม่เหล็กอย่าง แมนนี่ ปาเกียว หรือ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ต่างโรยราไป วงการหมัดมวยก็ช่างเหี่ยวเฉา 

ความเหี่ยวเฉาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแชมป์โลกคนปัจจุบันไม่มีฝีมือ หรือเก่งน้อยกว่านักชกรุ่นก่อนๆ แต่มันคือความเหี่ยวเฉาในแง่ของความนิยม วงการหมัดมวยไม่ได้มีแฟนๆอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนครั้งก่อนหน้านี้ ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดราคาถูกลง มวยไฟต์พันล้านไม่มี และคนที่ให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ ไมค์ ไทสัน นักชกที่เคยดังที่สุดและร่ำรวยที่สุดในยุคของเขา

“วงการมวยยุคนี้มันตกต่ำลงเยอะ มันกำลังจะตาย ทุกวันนี้ UFC ได้รับความนิยมมากกว่า และมวยกรงกำลังจะเตะมวยตูดมวยสากลอย่างเมามันเลยล่ะผมจะบอกให้” ไทสัน ว่าเช่นนั้น 

คำกล่าวทั้งหมดที่ว่าไปพอจะยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมวงการมวยจึงเปิดพื้นที่ให้กับคนที่ไม่มีประวัติการชก ไม่มีแม้กระทั่งใบอนุญาตชกมวยอาชีพ ขึ้นมาลูบคมเหล่านักมวยฝีมือดีทั้งหลาย

เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดคือ เจค พอล หรือแม้กระทั่ง โลแกน พอล พี่ชายที่แก่กว่า 2 ปีของเขานั้น เป็นคนที่สามารถเรียกกระแสได้แบบถล่มทลายมากกว่าที่นักมวยในยุคนี้หลายคนจะทำได้ พวกเขามีฐานแฟนคลับรวมกันเกิน 40 ล้านคนนับจากยอดผู้ติดตาม และพวกเขารู้วิธีที่ทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจได้เสมอ.. ว่าง่ายๆคือ เจค พอล นั้นขายของ และเรียกแขกเก่งกาจอย่างไม่น่าเชื่อ 

วิธีการของเขามันไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนมากมาย การเป็นยูทูบเบอร์นั้นแตกต่างกับดาราระดับฮอลลีวูดอยู่ 1 อย่าง นั่นคือพวกเขาเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าและบ่อยกว่า ผ่านคอนเทนต์ที่นำเสนอไปในสัปดาห์ละหลายๆชิ้น และบางครั้งคอนเทนต์ที่เสนอออกไปมันไม่ได้สร้างแค่ความชอบเท่านั้น เพราะมันได้สร้างความเกลียดชัง จนทำให้เขามี Hater มากมาย 

เหตุผลที่หลายคนสามารถใช้คำว่า “เกลียดขี้หน้า” พวกเขาได้ ก็คือคอนเทนต์ของพวกเขาเอง หลายคอนเทนต์ของ 2 พี่น้องพอล ออกแนวคลิกเบต หลอกให้คนกดไปดู และบางครั้งเขาก็ตลกเกินงาม ลามไปถึงการเหยียดเชื้อชาติ แม้กระทั่งเหยียดศพ รวมถึงพฤติกรรมแบบชอบโชว์เงินโชว์ทอง อวดร่ำอวดรวยนั่นเอง

เมื่อถึงวันหนึ่งพวกเขาสั่งสมชื่อเสียง ไม่ว่าจะจากทั้งคนรักและคนเกลียด แต่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้เลยว่า เจค พอล คือหนึ่งในยูทูบเบอร์ที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก เขาขยับไปไหนทำอะไรก็มักจะมีข่าวไม่ต่างกับเหล่าดาราระดับซูเปอร์สตาร์ ที่สำคัญคือพวกเขาแจ๋วจริงจนสามารถเข้าใจโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี เขาสามารถปล่อยผ่าน ไม่ตอบโต้คนเกลียดได้ เพราะที่สุดแล้วไม่ว่าจากความรักหรือความเกลียดชัง มันก็เท่ากับ 1 วิว อยู่ดี ซึ่งยอดวิวนี้เองที่ทำให้เขามีเงินใช้เหลือเฟือ โดยมีรายรับราวปีละ 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากส่วนแบ่งยอดวิวจนกระทั่งสปอนเซอร์ต่างๆ

2

เหนือสิ่งอื่นใดคือความสมองเพชรของเขาที่เปลี่ยนความเกลียดให้เป็นรายได้ เจค พอล รู้อีกว่าคนดูอยากดูอะไรหลังจากที่พวกเขาปล่อยคอนเทนต์ตลกโปกฮาไปเต็มพิกัดแล้ว พวกเขาก็พบเส้นทางใหม่ที่จะดึงดูดยอดวิวและผู้ติดตามใหม่ๆเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการ “ชกมวย” นั่นเอง

ปี 2018 เป็นปีที่ เจค เริ่มฝึกฝนการชกมวยอย่างจริงจังตามรอย โลแกน พี่ชายของเขาที่ทำสถิติชกไฟต์เดียวได้ค่าถ่ายทอดสด 10 ล้านปอนด์ กับ KSI หรือชื่อจริง โอลาจิเด โอลาตุนจิ ยูทูบเบอร์จากอังกฤษ

อะไรที่ทำให้นักชกที่ไม่เคยชกเวทีไหนเลยทำเงินได้ขนาดนั้น? เหตุผลเดียวคือ พวกเขาขายได้ ไม่ว่าใครก็อยากจะดู 2 พี่น้องพอลขึ้นชกมวยบนเวทีกับใครสักคนที่มีฝีไม้ลายมือ แบบไม่ใช่มวยต้มล้มคนดู คนที่ชอบเขาจะรอดูเขาขึ้นเวทีเพื่อให้กำลังใจ ส่วนคนที่เกลียดก็จะรอแช่งเขาให้โดนน็อกเอาต์ ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียด ทุกคนก็ซื้อสิทธิ์เข้าชมแบบ Pay-Per-View ได้ทั้งนั้น สิ่งที่ตามมาก็คือ “เงิน” ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้

ตำนานเรียกแขกนัมเบอร์วัน 

ความจริงบางประการของโลกนี้คือ ต่อให้คุณจะรวยหรือดังแค่ไหนก็ใช่ว่าคุณจะได้รับการยอมรับจากทุกคน อาทิ ในวงการฟุตบอล ถ้าคุณไม่เก่งจริง ไม่มีใครกล้าให้คุณลงสนาม เช่นเดียวกันในวงการมวยสากล ถึงแม้พวกเขาจะเปิดพื้นที่ให้กับคนดังขึ้นชกเพื่อเรียกกระแส แต่ถ้าชกไม่ได้เรื่อง ต่อยไม่เป็น ก็แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นปาหี่ที่แฟนหมัดมวยจำฝังใจ จนไม่ให้โอกาส และไม่เสียเงินดูพวกเขาอีกเป็นครั้งที่ 2 

เจค พอล ทำอะไรกับเรื่องนี้?.. ง่ายนิดเดียว เขาก็ทำให้ตัวเองเก่งจนได้รับการยอมรับ และทำให้หมดคำปรามาส ไม่ว่าใครจะเกลียดและต่อต้านเขาแค่ไหนก็ตาม

ก่อนจะขึ้นชกไฟต์แรกกับ Deji หรือชื่อจริง เดจิ โอลาตุนจิ น้องชายของ KSI ที่เป็นยูทูบเบอร์เช่นกัน ซึ่งถือเป็นไฟต์ประกอบรายการของพี่ชายที่เป็นคู่เอกด้วยซ้ำ แต่ เจค พอล ไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาจริงจังกับการซ้อมเป็นอย่างมาก เขาทิ้งไลฟ์สไตล์แบบเซเลบฯ หรือการกินเที่ยวแบบวัยรุ่นไปโดยสิ้นเชิง เพื่อฝึกแต่ชกมวยอย่างเดียวเท่านั้น มันคือหลักการง่ายๆที่ทำยาก นั่นคือเมื่อคุณอยากจะให้ของขายดี คุณก็ต้องทำสินค้าที่คุณมีให้มีคุณภาพ แต่การทำให้มันมีคุณภาพนี่แหละ ที่เป็นโจทย์สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ 

3

“ผมไม่ได้มาชกมวยเพื่อหาเงิน เงินผมมีเยอะแล้ว ผมทำเพราะผมรักมัน” เจค พอล กล่าวเริ่ม

“ผมพยายามผลักดันตัวเองตลอดเวลา ผมไม่กลัวที่จะกระโดดออกจากคอมฟอร์ตโซน ลุกตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อขึ้นมาวิ่ง มาออกกำลังกายในเช้าวันเสาร์ ขณะที่เพื่อนของผมอีกหลายคนกำลังเมาปลิ้นในลอส แอนเจลิส พวกเขาดื่มกันจนอ้วกแตกอ้วกแตน ผมก็อ้วกเหมือนกัน แต่มันเกิดขึ้นเพราะความเหนื่อยจนต้องอ้วกออกมา” 

เขาไม่ได้พูดเล่น เพราะในปี 2018 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาหัดชกมวย เจค พอล ขึ้นชกกับ Deji และสามารถเอาชนะได้ในยกที่ 5 ในไฟต์นั้นเขาไม่ได้มีเชิงหมัดเชิงมวยที่ดีนัก แตกต่างกันกับอีก 2 ปีต่อมาในการขึ้นสังเวียนอาชีพไฟต์แรกกับ AnEsonGib หรือชื่อจริง อาลี ลูอี อัล-ฟัครี ที่เป็นยูทูบเบอร์อีกเช่นกัน ไฟต์นี้ทำให้ทุกคนเห็นความเปลี่ยนแปลงในด้านการชกอย่างชัดเจน เพราะ เจค พอล สามารถชนะได้ตั้งแต่ยกแรก 

“สิ่งที่สังเกตเห็นชัดที่สุดในไฟต์นี้ของ เจค พอล คือการชกที่เขาแสดงออกมา เขาดูมีทรงมวยมากขึ้น มีน้ำอดน้ำทน มีระเบียบวินัย ชั้นเชิงของเขาดีขึ้นมาก เขาดักชก AnEsonGib นิ่มๆ ในขณะที่คู่แข่งวิ่งใส่เหมือนมวยวัด และหมัดฮุกของเขาก็ถูกนำออกมาใช้ได้อย่างถูกที่ถูกเวลามากๆ” จอห์นนี่ เพย์น นักเขียนบทความเกี่ยวกับมวยสากลของเว็บไซต์ Sportskeeda พูดถึงความต่างของเขาใน 2 ปี

ก่อนที่ เจค พอล จะตอกย้ำความดุดันของตัวเองเข้าไปอีก ด้วยการเอาชนะ เนท โรบินสัน อดีตนักบาสเกตบอล NBA ชื่อดัง ดีกรีแชมป์สแลมดังค์ 3 สมัย ด้วยการน็อกเอาต์ในยกที่ 2 เท่านั้น แค่ชนะยังไม่เท่าไหร่ เจค พอล ยังคงสโลแกนของตัวเองเสมอ เขารักษายอดคนดูของตัวเองเอาไว้ได้ด้วยคำพูดที่โอ้อวดและโอหัง เขาท้า คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ อดีตแชมป์โลก MMA ที่เคยข้ามวงการมาชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ มาแล้ว และเป็นหนึ่งในไฟต์ที่ทำเงินถล่มทลายมากที่สุดในโลก ขณะที่พี่ชายของเขา โลแกน ก็หาญกล้าท้าชกกับ เมย์เวทเธอร์ ผู้ไร้พ่าย 

4

สำหรับแฟนๆของ เจค และ โลแกน พวกเขาออกอาการดี๊ด๊าตั้งตารอที่จะได้ชมคอนเทนต์สนุกๆ ทุกครั้งที่ 2 พี่น้องพูดถึงนักชกที่เป็นพระเจ้าในวงการมวย และในขณะเดียวกัน การที่เขากล่าวถึงนักชกในทางที่ดูหมิ่นและติดแซวไปในทางแง่ลบ มันยิ่งทำให้คนในวงการมวยออกอาการหมั่นไส้ หลายคนคิดเห็นตรงกัน “เมื่อไหร่ไอ้พวกนี้จะเจอนักมวยจริงๆเสียที” 

เท่านั้นแหละทุกอย่างก็ลงล็อกจนได้ เจค พอล เปิดหัวปี 2021 ด้วยการยืนยันว่าจะขึ้นชกกับ เบน แอสเครน อดีตนักสู้ MMA ที่เคยเป็นแชมป์โลกของ Bellator และ ONE Championship รวมถึงเป็นอดีตนักมวยปล้ำดีกรีแชมป์ NCAA 2 สมัย และเคยลงแข่งในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปี 2008 ซึ่งดีกรีของ แอสเครน นั้นทำให้หลายคนเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่ เจค พอล จะหน้าคว่ำให้สมใจอยากกองแช่งเสียที

“เบน แอสเครน เป็นแชมป์โลก 2 สมัย เขามีสถิติการแพ้น้อยกว่า คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ด้วยซ้ำ” เจค ตีวัวกระทบคราดไปถึง “เกรียนไอริช” ที่แพ้ในการสู้ MMA ถึง 5 ไฟต์ มากกว่า แอสเกรน ที่แพ้เพียง 2 ไฟต์

“แต่ถ้าเทียบกับผมนะ บอกตรงๆ ผมเพิ่งเริ่มชกมวยเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ผมคิดว่าผมเตะตูดพวกเขาได้ตั้งแต่นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ พวกนักชก MMA พวกนี้คิดว่าพวกเขาเหนือกว่าผมบ้างล่ะ รู้วิธีชกที่ถูกต้องบ้างล่ะ พวกเขาเอาแต่พูดกันว่าผมโม้เกินเบอร์ทั้งๆที่ต่อยชนะนักบาส NBA แต่เดี๋ยวคอยดูเหอะ ผมจะซัดให้เห็นกันจะๆไปเลยว่าถ้าชกกับนักสู้ตัวจริงมันจะเป็นยังไง 17 เมษายนนี้ เดือดแน่ ไม่ต้องกลัว ผมบอกเลย”  

จะไม่ให้คนอื่นหมั่นไส้ได้อย่างไร ในเมื่อทุกประโยคจาก เจค พอล นั้นเต็มไปด้วยความยะโส แดกดัน และท้าทาย แต่นี่แหละคือสิ่งที่เขาเจอและทำมาประจำ เขารู้ว่าคนดูอยากจะเห็นอะไร เขาเข้าใจตลาด และเขาสามารถเรียกความสนใจได้ในแบบที่มากกว่านักมวยอาชีพระดับแถวหน้ามาชกกันเสียอีก

เจค พอล พา WIN 

การชกกับ แอสเครน คือไฟต์ที่หลายคนอยากจะเห็น เจค พอล เป็นผู้แพ้ แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แม้ แอสเครน จะมีดีกรีระดับแชมป์ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะ เจค ในตอนนี้ 

ตัดเรื่องความกวนประสาทของ เจค ออกไปก่อน อย่าลืมว่าเขาคือหนุ่มฉกรรจ์อายุ 24 ปี ที่ทุ่มเทกับการฝึกชกมวยล้วนๆเน้นๆมา 2 ปีเต็ม ร่างกายของ เจค พอล ดูดีตั้งแต่วันชั่งน้ำหนักแล้ว กล้ามเนื้อของเขาดูแน่น และแข็งแกร่งกว่า แอสเครน ที่หากลองตัดดีกรีแชมป์โลกไป ก็จะพบว่าเขาออกจากวงการมาเกือบ 2 ปีแล้ว โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่าเกิดจากอาการบาดเจ็บบริเวณสะโพกที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด และ 2 ปีนั้นมากพอที่จะทำให้สนิมเกาะจนไม่คล่องแคล่วเหมือนเก่า ยิ่งเมื่อเขาอายุ 36 ปี แถมยังเป็น 36 ปี ที่ไม่ได้มีเนื้อตัวที่ดีมากมายนัก เราได้เห็นชั้นไขมันที่เยอะกว่ากล้ามเนื้อ แอสเครน ขึ้นชกกับ เจค พอล ในขณะที่เขายังพุงหลามอยู่เลยด้วยซ้ำ  

5

ไม่เพียงเท่านั้น เขาเป็นนักสู้ที่ไม่ใช่สายเดินหน้าออกอาวุธอยู่แล้ว ประวัติที่กล่าวไปข้างต้นบอกชัดว่า เจ้าตัวเป็นเทพแห่งการนอนปล้ำหรือจับซับมิชชั่นเสียมากกว่า ดังนั้น การมาต่อยในกติกามวยสากลทำให้ แอสเครน เสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

และเหนือสิ่งอื่นใดคือแม้ แอสเครน จะแขวนนวมในปี 2019 แต่ช่วงเวลาที่เขาดีที่สุดในชีวิตคือช่วงปี 2010-2017 ที่เขาได้แชมป์โลก 2 สถาบัน แถม 2 ไฟต์สุดท้ายในการสู้ MMA เจ้าตัวยังแพ้แบบเสียรังวัด (หนึ่งในนั้นคือการโดน ฮอร์เฮ มาสวิดัล เข่าลอยหลับด้วยเวลาเพียง 5 วินาที) ดังนั้น จึงพอจะบอกได้ว่า เบน แอสเครน ตกลงมาจากระดับเดิมที่เคยทำไว้เยอะมาก 

คนหนึ่งกำลังเดินลง และไม่น่าจะมีอะไรมากกว่าการหาเงินสักก้อนก่อนเกษียณจากวงการนักสู้ถาวร ส่วนอีกคนยังหนุ่มยังแน่น ต้องการสร้างชื่อเพื่อเก็บความนิยม ชื่อเสียง และรายได้จากการขึ้นชก แค่นี้เราก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่าความมุ่งมั่นของฝ่ายไหนจะเยอะกว่ากัน และมันคงไม่แปลกอะไรที่ เจค พอล จะเป็นผู้ชนะ 

มันไม่ใช่เรื่องฟลุก และมันคงไม่แฟร์นักที่จะบอกว่าเขาชนะเพราะ เบน แอสเครน หมดสภาพไปโดยปริยาย เหนือสิ่งอื่นใดคือการทุ่มเทของตัว เจค เอง ที่รู้ดีว่า มวยคือเส้นทางแห่งอนาคต ดังนั้น การซ้อมอย่างบ้าคลั่ง รักษาสภาพร่างกาย และทำน้ำหนักตัวของเขาจึงไม่ต่างจากนักมวยอาชีพคนหนึ่งเลย ซึ่งในจุดนี้เอง ไม่ว่าคุณจะเกลียดหรือชอบเขา สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ เจค พอล สมควรเป็นผู้ชนะในไฟต์นี้อย่างแท้จริง 

และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ไฟต์ระหว่าง เจค พอล และ แอสเครน นั้นจะกลายเป็นมิติใหม่ของวงการมวย ที่ยืนยันแล้วว่า บางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นนักมวยอาชีพก็สามารถสร้างไฟต์ที่มีคนรอดูและทำเงินได้จากทั้งค่าตัวและขายลิขสิทธิ์การเข้าชมผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง ต่อจากนี้การข้ามวงการของคนดังในสายงานไหนก็สามารถมาตัดสินในการชกมวยได้ หากพวกเขาดังพอ ทุ่มเทพอ และมีคนรอดูมากพอ เพราะทั้งคู่ได้เงินค่าตัว บวกกับส่วนแบ่ง Pay-Per-View รวมกันมากกว่าคนละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเลยทีเดียว

“ใครบอกว่าการให้ยูทูบเบอร์พวกนี้มาขึ้นชกและทำให้เกียรติยศบนเวทีนี้แปดเปื้อน ผมว่าคงต้องคิดกันใหม่” ไมค์ ไทสัน เริ่มกล่าวถึงมุมมองของเขาในยุคที่มวยต้องการอะไรมากกว่าการชกกันธรรมดาของนักมวย 2 คน 

“วงการมวยเป็นหนี้พวกนี้ด้วยซ้ำ พวกนักมวย ยูทูบเบอร์ ควรจะได้รับความเคารพมากกว่าที่เป็น ถ้าเป็นไปได้จะให้เข็มขัดแชมป์ของพวกเขาสักเส้นก็ไม่เลวนะ อย่าลืมว่าวงการมวยมันใกล้จะตายลงไปทุกทีแล้ว”

“ตอนนี้พวกเขาเหล่านี้เข้ามาในวงการพร้อมๆกับผู้ติดตามอีก 20 ล้านคน แค่นี้ก็มากพอแล้วที่วงการมวยต้องขอบใจและให้ความเคารพพวกเขา” นักชกเจ้าของฉายา “มฤตยูดำ” ที่เห็นฟอร์มของ เจค พอล ด้วยตาตัวเอง จากไฟต์ชนะ เนท โรบินสัน คู่รองของไฟต์ที่เจ้าตัวคืนสังเวียนครั้งแรกในรอบหลายสิบปี กับการปะทะ รอย โจนส์ จูเนียร์ เมื่อปี 2020 กล่าว

ต่อจากนี้ ทั้ง เจค และ โลแกน พี่ชายของเขายังมีโปรแกรมการชกไว้เรียกแขกอีกมากมาย โลแกน คนพี่กำลังจะได้ชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ตามที่ร้องขอในเดือนมิถุนายน 2021 ขณะที่ เจค เองก็อาจได้สมใจอยากหลังพาดพิงชาวบ้านมานาน เพราะ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ที่หลงใหลในการสวมกำปั้นปิดนวม อาจเล็งเขาเป็นคู่ต่อสู้ในอนาคตอันใกล้

เหตุผลเรื่องเงินสำคัญที่สุดที่ทำให้ไฟต์เหล่านี้เกิดขึ้น ไม่มีใครต้องสงสัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ การไต่จาก 0 ขึ้นมาชกกับนักมวยสากลหรือมวยกรงระดับแชมป์โลกได้นั้น ต้องยอมรับว่า เจค และ โลแกน พอล คือผู้เปลี่ยมโฉมหน้าของวงการมวยยุคใหม่อย่างแท้จริง 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ