“ยูทูบเบอร์ เจค พอล ชนะ เบน แอสเครน นักชก MMA ด้วยการน็อกเอาต์ภายใน 2 นาที!”
นี่คือพาดหัวของเว็บไซต์ข่าวระดับโลกอย่าง BBC ที่ประโคมข่าวว่า ยูทูบเบอร์ ขวัญใจวัยรุ่นอย่าง เจค พอล ได้ก้าวข้ามจักรวาลและแสดงความสามารถในการชกมวยจนสามารถเอาชนะนักกีฬาต่อสู้อาชีพได้
ความน่าหมั่นไส้ของกองแช่งที่อยากเห็นเขาแพ้ไม่เคยเกิดขึ้นเสียที.. อะไรที่ทำให้เขาเอาชนะและกล้าท้าทายนักชกระดับแชมป์โลกแบบไม่เกรงกลัว?
ติดตามกับ Main Stand ที่นี่..
อยากเห็นผมโดนอัดเหรอ? จ่ายเงินมาสิ
เรื่องราวการขึ้นชกกับนักมวยอาชีพของ ยูทูบเบอร์ คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยกเว้นเสียแต่ว่ายูทูบเบอร์คนนั้นจะดังจริงๆ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ เจค พอล ที่มีผู้ติดตามในแชนแนลมากกว่า 20 ล้านคนได้เปิดตัวบนเวทีผ้าใบที่เต็มไปด้วยเกียรติ และความมานะของเหล่านักชกผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต
ทำไมคนดังถึงได้สิทธิ์ก่อน? คำถามนี้มีคำตอบที่ชัดเจนแบบสุดๆ นั่นคือเมื่อหมดยุคทองของมวยเฮฟวี่เวต อีกทั้งนักชกแม่เหล็กอย่าง แมนนี่ ปาเกียว หรือ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ต่างโรยราไป วงการหมัดมวยก็ช่างเหี่ยวเฉา
ความเหี่ยวเฉาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแชมป์โลกคนปัจจุบันไม่มีฝีมือ หรือเก่งน้อยกว่านักชกรุ่นก่อนๆ แต่มันคือความเหี่ยวเฉาในแง่ของความนิยม วงการหมัดมวยไม่ได้มีแฟนๆอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนครั้งก่อนหน้านี้ ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดราคาถูกลง มวยไฟต์พันล้านไม่มี และคนที่ให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ ไมค์ ไทสัน นักชกที่เคยดังที่สุดและร่ำรวยที่สุดในยุคของเขา
“วงการมวยยุคนี้มันตกต่ำลงเยอะ มันกำลังจะตาย ทุกวันนี้ UFC ได้รับความนิยมมากกว่า และมวยกรงกำลังจะเตะมวยตูดมวยสากลอย่างเมามันเลยล่ะผมจะบอกให้” ไทสัน ว่าเช่นนั้น
คำกล่าวทั้งหมดที่ว่าไปพอจะยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมวงการมวยจึงเปิดพื้นที่ให้กับคนที่ไม่มีประวัติการชก ไม่มีแม้กระทั่งใบอนุญาตชกมวยอาชีพ ขึ้นมาลูบคมเหล่านักมวยฝีมือดีทั้งหลาย
เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดคือ เจค พอล หรือแม้กระทั่ง โลแกน พอล พี่ชายที่แก่กว่า 2 ปีของเขานั้น เป็นคนที่สามารถเรียกกระแสได้แบบถล่มทลายมากกว่าที่นักมวยในยุคนี้หลายคนจะทำได้ พวกเขามีฐานแฟนคลับรวมกันเกิน 40 ล้านคนนับจากยอดผู้ติดตาม และพวกเขารู้วิธีที่ทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจได้เสมอ.. ว่าง่ายๆคือ เจค พอล นั้นขายของ และเรียกแขกเก่งกาจอย่างไม่น่าเชื่อ
วิธีการของเขามันไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนมากมาย การเป็นยูทูบเบอร์นั้นแตกต่างกับดาราระดับฮอลลีวูดอยู่ 1 อย่าง นั่นคือพวกเขาเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าและบ่อยกว่า ผ่านคอนเทนต์ที่นำเสนอไปในสัปดาห์ละหลายๆชิ้น และบางครั้งคอนเทนต์ที่เสนอออกไปมันไม่ได้สร้างแค่ความชอบเท่านั้น เพราะมันได้สร้างความเกลียดชัง จนทำให้เขามี Hater มากมาย
เหตุผลที่หลายคนสามารถใช้คำว่า “เกลียดขี้หน้า” พวกเขาได้ ก็คือคอนเทนต์ของพวกเขาเอง หลายคอนเทนต์ของ 2 พี่น้องพอล ออกแนวคลิกเบต หลอกให้คนกดไปดู และบางครั้งเขาก็ตลกเกินงาม ลามไปถึงการเหยียดเชื้อชาติ แม้กระทั่งเหยียดศพ รวมถึงพฤติกรรมแบบชอบโชว์เงินโชว์ทอง อวดร่ำอวดรวยนั่นเอง
เมื่อถึงวันหนึ่งพวกเขาสั่งสมชื่อเสียง ไม่ว่าจะจากทั้งคนรักและคนเกลียด แต่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้เลยว่า เจค พอล คือหนึ่งในยูทูบเบอร์ที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก เขาขยับไปไหนทำอะไรก็มักจะมีข่าวไม่ต่างกับเหล่าดาราระดับซูเปอร์สตาร์ ที่สำคัญคือพวกเขาแจ๋วจริงจนสามารถเข้าใจโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี เขาสามารถปล่อยผ่าน ไม่ตอบโต้คนเกลียดได้ เพราะที่สุดแล้วไม่ว่าจากความรักหรือความเกลียดชัง มันก็เท่ากับ 1 วิว อยู่ดี ซึ่งยอดวิวนี้เองที่ทำให้เขามีเงินใช้เหลือเฟือ โดยมีรายรับราวปีละ 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากส่วนแบ่งยอดวิวจนกระทั่งสปอนเซอร์ต่างๆ
เหนือสิ่งอื่นใดคือความสมองเพชรของเขาที่เปลี่ยนความเกลียดให้เป็นรายได้ เจค พอล รู้อีกว่าคนดูอยากดูอะไรหลังจากที่พวกเขาปล่อยคอนเทนต์ตลกโปกฮาไปเต็มพิกัดแล้ว พวกเขาก็พบเส้นทางใหม่ที่จะดึงดูดยอดวิวและผู้ติดตามใหม่ๆเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการ “ชกมวย” นั่นเอง
ปี 2018 เป็นปีที่ เจค เริ่มฝึกฝนการชกมวยอย่างจริงจังตามรอย โลแกน พี่ชายของเขาที่ทำสถิติชกไฟต์เดียวได้ค่าถ่ายทอดสด 10 ล้านปอนด์ กับ KSI หรือชื่อจริง โอลาจิเด โอลาตุนจิ ยูทูบเบอร์จากอังกฤษ
อะไรที่ทำให้นักชกที่ไม่เคยชกเวทีไหนเลยทำเงินได้ขนาดนั้น? เหตุผลเดียวคือ พวกเขาขายได้ ไม่ว่าใครก็อยากจะดู 2 พี่น้องพอลขึ้นชกมวยบนเวทีกับใครสักคนที่มีฝีไม้ลายมือ แบบไม่ใช่มวยต้มล้มคนดู คนที่ชอบเขาจะรอดูเขาขึ้นเวทีเพื่อให้กำลังใจ ส่วนคนที่เกลียดก็จะรอแช่งเขาให้โดนน็อกเอาต์ ไม่ว่าคุณจะรักหรือเกลียด ทุกคนก็ซื้อสิทธิ์เข้าชมแบบ Pay-Per-View ได้ทั้งนั้น สิ่งที่ตามมาก็คือ “เงิน” ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้
ตำนานเรียกแขกนัมเบอร์วัน
ความจริงบางประการของโลกนี้คือ ต่อให้คุณจะรวยหรือดังแค่ไหนก็ใช่ว่าคุณจะได้รับการยอมรับจากทุกคน อาทิ ในวงการฟุตบอล ถ้าคุณไม่เก่งจริง ไม่มีใครกล้าให้คุณลงสนาม เช่นเดียวกันในวงการมวยสากล ถึงแม้พวกเขาจะเปิดพื้นที่ให้กับคนดังขึ้นชกเพื่อเรียกกระแส แต่ถ้าชกไม่ได้เรื่อง ต่อยไม่เป็น ก็แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นปาหี่ที่แฟนหมัดมวยจำฝังใจ จนไม่ให้โอกาส และไม่เสียเงินดูพวกเขาอีกเป็นครั้งที่ 2
เจค พอล ทำอะไรกับเรื่องนี้?.. ง่ายนิดเดียว เขาก็ทำให้ตัวเองเก่งจนได้รับการยอมรับ และทำให้หมดคำปรามาส ไม่ว่าใครจะเกลียดและต่อต้านเขาแค่ไหนก็ตาม
ก่อนจะขึ้นชกไฟต์แรกกับ Deji หรือชื่อจริง เดจิ โอลาตุนจิ น้องชายของ KSI ที่เป็นยูทูบเบอร์เช่นกัน ซึ่งถือเป็นไฟต์ประกอบรายการของพี่ชายที่เป็นคู่เอกด้วยซ้ำ แต่ เจค พอล ไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาจริงจังกับการซ้อมเป็นอย่างมาก เขาทิ้งไลฟ์สไตล์แบบเซเลบฯ หรือการกินเที่ยวแบบวัยรุ่นไปโดยสิ้นเชิง เพื่อฝึกแต่ชกมวยอย่างเดียวเท่านั้น มันคือหลักการง่ายๆที่ทำยาก นั่นคือเมื่อคุณอยากจะให้ของขายดี คุณก็ต้องทำสินค้าที่คุณมีให้มีคุณภาพ แต่การทำให้มันมีคุณภาพนี่แหละ ที่เป็นโจทย์สำคัญที่สุดของเรื่องนี้
“ผมไม่ได้มาชกมวยเพื่อหาเงิน เงินผมมีเยอะแล้ว ผมทำเพราะผมรักมัน” เจค พอล กล่าวเริ่ม
“ผมพยายามผลักดันตัวเองตลอดเวลา ผมไม่กลัวที่จะกระโดดออกจากคอมฟอร์ตโซน ลุกตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อขึ้นมาวิ่ง มาออกกำลังกายในเช้าวันเสาร์ ขณะที่เพื่อนของผมอีกหลายคนกำลังเมาปลิ้นในลอส แอนเจลิส พวกเขาดื่มกันจนอ้วกแตกอ้วกแตน ผมก็อ้วกเหมือนกัน แต่มันเกิดขึ้นเพราะความเหนื่อยจนต้องอ้วกออกมา”
เขาไม่ได้พูดเล่น เพราะในปี 2018 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาหัดชกมวย เจค พอล ขึ้นชกกับ Deji และสามารถเอาชนะได้ในยกที่ 5 ในไฟต์นั้นเขาไม่ได้มีเชิงหมัดเชิงมวยที่ดีนัก แตกต่างกันกับอีก 2 ปีต่อมาในการขึ้นสังเวียนอาชีพไฟต์แรกกับ AnEsonGib หรือชื่อจริง อาลี ลูอี อัล-ฟัครี ที่เป็นยูทูบเบอร์อีกเช่นกัน ไฟต์นี้ทำให้ทุกคนเห็นความเปลี่ยนแปลงในด้านการชกอย่างชัดเจน เพราะ เจค พอล สามารถชนะได้ตั้งแต่ยกแรก
“สิ่งที่สังเกตเห็นชัดที่สุดในไฟต์นี้ของ เจค พอล คือการชกที่เขาแสดงออกมา เขาดูมีทรงมวยมากขึ้น มีน้ำอดน้ำทน มีระเบียบวินัย ชั้นเชิงของเขาดีขึ้นมาก เขาดักชก AnEsonGib นิ่มๆ ในขณะที่คู่แข่งวิ่งใส่เหมือนมวยวัด และหมัดฮุกของเขาก็ถูกนำออกมาใช้ได้อย่างถูกที่ถูกเวลามากๆ” จอห์นนี่ เพย์น นักเขียนบทความเกี่ยวกับมวยสากลของเว็บไซต์ Sportskeeda พูดถึงความต่างของเขาใน 2 ปี
ก่อนที่ เจค พอล จะตอกย้ำความดุดันของตัวเองเข้าไปอีก ด้วยการเอาชนะ เนท โรบินสัน อดีตนักบาสเกตบอล NBA ชื่อดัง ดีกรีแชมป์สแลมดังค์ 3 สมัย ด้วยการน็อกเอาต์ในยกที่ 2 เท่านั้น แค่ชนะยังไม่เท่าไหร่ เจค พอล ยังคงสโลแกนของตัวเองเสมอ เขารักษายอดคนดูของตัวเองเอาไว้ได้ด้วยคำพูดที่โอ้อวดและโอหัง เขาท้า คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ อดีตแชมป์โลก MMA ที่เคยข้ามวงการมาชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ มาแล้ว และเป็นหนึ่งในไฟต์ที่ทำเงินถล่มทลายมากที่สุดในโลก ขณะที่พี่ชายของเขา โลแกน ก็หาญกล้าท้าชกกับ เมย์เวทเธอร์ ผู้ไร้พ่าย
สำหรับแฟนๆของ เจค และ โลแกน พวกเขาออกอาการดี๊ด๊าตั้งตารอที่จะได้ชมคอนเทนต์สนุกๆ ทุกครั้งที่ 2 พี่น้องพูดถึงนักชกที่เป็นพระเจ้าในวงการมวย และในขณะเดียวกัน การที่เขากล่าวถึงนักชกในทางที่ดูหมิ่นและติดแซวไปในทางแง่ลบ มันยิ่งทำให้คนในวงการมวยออกอาการหมั่นไส้ หลายคนคิดเห็นตรงกัน “เมื่อไหร่ไอ้พวกนี้จะเจอนักมวยจริงๆเสียที”
เท่านั้นแหละทุกอย่างก็ลงล็อกจนได้ เจค พอล เปิดหัวปี 2021 ด้วยการยืนยันว่าจะขึ้นชกกับ เบน แอสเครน อดีตนักสู้ MMA ที่เคยเป็นแชมป์โลกของ Bellator และ ONE Championship รวมถึงเป็นอดีตนักมวยปล้ำดีกรีแชมป์ NCAA 2 สมัย และเคยลงแข่งในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปี 2008 ซึ่งดีกรีของ แอสเครน นั้นทำให้หลายคนเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่ เจค พอล จะหน้าคว่ำให้สมใจอยากกองแช่งเสียที
“เบน แอสเครน เป็นแชมป์โลก 2 สมัย เขามีสถิติการแพ้น้อยกว่า คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ด้วยซ้ำ” เจค ตีวัวกระทบคราดไปถึง “เกรียนไอริช” ที่แพ้ในการสู้ MMA ถึง 5 ไฟต์ มากกว่า แอสเกรน ที่แพ้เพียง 2 ไฟต์
“แต่ถ้าเทียบกับผมนะ บอกตรงๆ ผมเพิ่งเริ่มชกมวยเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ผมคิดว่าผมเตะตูดพวกเขาได้ตั้งแต่นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ พวกนักชก MMA พวกนี้คิดว่าพวกเขาเหนือกว่าผมบ้างล่ะ รู้วิธีชกที่ถูกต้องบ้างล่ะ พวกเขาเอาแต่พูดกันว่าผมโม้เกินเบอร์ทั้งๆที่ต่อยชนะนักบาส NBA แต่เดี๋ยวคอยดูเหอะ ผมจะซัดให้เห็นกันจะๆไปเลยว่าถ้าชกกับนักสู้ตัวจริงมันจะเป็นยังไง 17 เมษายนนี้ เดือดแน่ ไม่ต้องกลัว ผมบอกเลย”
จะไม่ให้คนอื่นหมั่นไส้ได้อย่างไร ในเมื่อทุกประโยคจาก เจค พอล นั้นเต็มไปด้วยความยะโส แดกดัน และท้าทาย แต่นี่แหละคือสิ่งที่เขาเจอและทำมาประจำ เขารู้ว่าคนดูอยากจะเห็นอะไร เขาเข้าใจตลาด และเขาสามารถเรียกความสนใจได้ในแบบที่มากกว่านักมวยอาชีพระดับแถวหน้ามาชกกันเสียอีก
เจค พอล พา WIN
การชกกับ แอสเครน คือไฟต์ที่หลายคนอยากจะเห็น เจค พอล เป็นผู้แพ้ แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แม้ แอสเครน จะมีดีกรีระดับแชมป์ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะ เจค ในตอนนี้
ตัดเรื่องความกวนประสาทของ เจค ออกไปก่อน อย่าลืมว่าเขาคือหนุ่มฉกรรจ์อายุ 24 ปี ที่ทุ่มเทกับการฝึกชกมวยล้วนๆเน้นๆมา 2 ปีเต็ม ร่างกายของ เจค พอล ดูดีตั้งแต่วันชั่งน้ำหนักแล้ว กล้ามเนื้อของเขาดูแน่น และแข็งแกร่งกว่า แอสเครน ที่หากลองตัดดีกรีแชมป์โลกไป ก็จะพบว่าเขาออกจากวงการมาเกือบ 2 ปีแล้ว โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่าเกิดจากอาการบาดเจ็บบริเวณสะโพกที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด และ 2 ปีนั้นมากพอที่จะทำให้สนิมเกาะจนไม่คล่องแคล่วเหมือนเก่า ยิ่งเมื่อเขาอายุ 36 ปี แถมยังเป็น 36 ปี ที่ไม่ได้มีเนื้อตัวที่ดีมากมายนัก เราได้เห็นชั้นไขมันที่เยอะกว่ากล้ามเนื้อ แอสเครน ขึ้นชกกับ เจค พอล ในขณะที่เขายังพุงหลามอยู่เลยด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น เขาเป็นนักสู้ที่ไม่ใช่สายเดินหน้าออกอาวุธอยู่แล้ว ประวัติที่กล่าวไปข้างต้นบอกชัดว่า เจ้าตัวเป็นเทพแห่งการนอนปล้ำหรือจับซับมิชชั่นเสียมากกว่า ดังนั้น การมาต่อยในกติกามวยสากลทำให้ แอสเครน เสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย
และเหนือสิ่งอื่นใดคือแม้ แอสเครน จะแขวนนวมในปี 2019 แต่ช่วงเวลาที่เขาดีที่สุดในชีวิตคือช่วงปี 2010-2017 ที่เขาได้แชมป์โลก 2 สถาบัน แถม 2 ไฟต์สุดท้ายในการสู้ MMA เจ้าตัวยังแพ้แบบเสียรังวัด (หนึ่งในนั้นคือการโดน ฮอร์เฮ มาสวิดัล เข่าลอยหลับด้วยเวลาเพียง 5 วินาที) ดังนั้น จึงพอจะบอกได้ว่า เบน แอสเครน ตกลงมาจากระดับเดิมที่เคยทำไว้เยอะมาก
คนหนึ่งกำลังเดินลง และไม่น่าจะมีอะไรมากกว่าการหาเงินสักก้อนก่อนเกษียณจากวงการนักสู้ถาวร ส่วนอีกคนยังหนุ่มยังแน่น ต้องการสร้างชื่อเพื่อเก็บความนิยม ชื่อเสียง และรายได้จากการขึ้นชก แค่นี้เราก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่าความมุ่งมั่นของฝ่ายไหนจะเยอะกว่ากัน และมันคงไม่แปลกอะไรที่ เจค พอล จะเป็นผู้ชนะ
มันไม่ใช่เรื่องฟลุก และมันคงไม่แฟร์นักที่จะบอกว่าเขาชนะเพราะ เบน แอสเครน หมดสภาพไปโดยปริยาย เหนือสิ่งอื่นใดคือการทุ่มเทของตัว เจค เอง ที่รู้ดีว่า มวยคือเส้นทางแห่งอนาคต ดังนั้น การซ้อมอย่างบ้าคลั่ง รักษาสภาพร่างกาย และทำน้ำหนักตัวของเขาจึงไม่ต่างจากนักมวยอาชีพคนหนึ่งเลย ซึ่งในจุดนี้เอง ไม่ว่าคุณจะเกลียดหรือชอบเขา สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ เจค พอล สมควรเป็นผู้ชนะในไฟต์นี้อย่างแท้จริง
และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ไฟต์ระหว่าง เจค พอล และ แอสเครน นั้นจะกลายเป็นมิติใหม่ของวงการมวย ที่ยืนยันแล้วว่า บางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นนักมวยอาชีพก็สามารถสร้างไฟต์ที่มีคนรอดูและทำเงินได้จากทั้งค่าตัวและขายลิขสิทธิ์การเข้าชมผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง ต่อจากนี้การข้ามวงการของคนดังในสายงานไหนก็สามารถมาตัดสินในการชกมวยได้ หากพวกเขาดังพอ ทุ่มเทพอ และมีคนรอดูมากพอ เพราะทั้งคู่ได้เงินค่าตัว บวกกับส่วนแบ่ง Pay-Per-View รวมกันมากกว่าคนละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเลยทีเดียว
“ใครบอกว่าการให้ยูทูบเบอร์พวกนี้มาขึ้นชกและทำให้เกียรติยศบนเวทีนี้แปดเปื้อน ผมว่าคงต้องคิดกันใหม่” ไมค์ ไทสัน เริ่มกล่าวถึงมุมมองของเขาในยุคที่มวยต้องการอะไรมากกว่าการชกกันธรรมดาของนักมวย 2 คน
“วงการมวยเป็นหนี้พวกนี้ด้วยซ้ำ พวกนักมวย ยูทูบเบอร์ ควรจะได้รับความเคารพมากกว่าที่เป็น ถ้าเป็นไปได้จะให้เข็มขัดแชมป์ของพวกเขาสักเส้นก็ไม่เลวนะ อย่าลืมว่าวงการมวยมันใกล้จะตายลงไปทุกทีแล้ว”
“ตอนนี้พวกเขาเหล่านี้เข้ามาในวงการพร้อมๆกับผู้ติดตามอีก 20 ล้านคน แค่นี้ก็มากพอแล้วที่วงการมวยต้องขอบใจและให้ความเคารพพวกเขา” นักชกเจ้าของฉายา “มฤตยูดำ” ที่เห็นฟอร์มของ เจค พอล ด้วยตาตัวเอง จากไฟต์ชนะ เนท โรบินสัน คู่รองของไฟต์ที่เจ้าตัวคืนสังเวียนครั้งแรกในรอบหลายสิบปี กับการปะทะ รอย โจนส์ จูเนียร์ เมื่อปี 2020 กล่าว
ต่อจากนี้ ทั้ง เจค และ โลแกน พี่ชายของเขายังมีโปรแกรมการชกไว้เรียกแขกอีกมากมาย โลแกน คนพี่กำลังจะได้ชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ตามที่ร้องขอในเดือนมิถุนายน 2021 ขณะที่ เจค เองก็อาจได้สมใจอยากหลังพาดพิงชาวบ้านมานาน เพราะ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ที่หลงใหลในการสวมกำปั้นปิดนวม อาจเล็งเขาเป็นคู่ต่อสู้ในอนาคตอันใกล้
เหตุผลเรื่องเงินสำคัญที่สุดที่ทำให้ไฟต์เหล่านี้เกิดขึ้น ไม่มีใครต้องสงสัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ การไต่จาก 0 ขึ้นมาชกกับนักมวยสากลหรือมวยกรงระดับแชมป์โลกได้นั้น ต้องยอมรับว่า เจค และ โลแกน พอล คือผู้เปลี่ยมโฉมหน้าของวงการมวยยุคใหม่อย่างแท้จริง