![ทารกวันเพียง 52 วัน ป่วยขั้นวิกฤต จากสิ่งที่ยายคิดว่าเป็นยาดี แต่ไม่ต่างจาก "ยาพิษ" ทารกวันเพียง 52 วัน ป่วยขั้นวิกฤต จากสิ่งที่ยายคิดว่าเป็นยาดี แต่ไม่ต่างจาก "ยาพิษ"](https://s.isanook.com/ns/0/ud/1945/9725638/new-thumbnail1200x720(5)(1).jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
ทารกวัยเพียง 52 วัน ป่วยหนักขั้นวิกฤต หลังยายให้ดื่ม “น้ำผึ้ง” แก้ไอบำรุงปอด ความหวังดีและความรักต่อหลาน กลายเป็นทำร้ายทางอ้อม
เมื่อไม่นานมานี้ ที่มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน เกิดเหตุสะเทือนใจขึ้น เมื่อทารกหญิงวัยเพียง 52 วัน ได้รับพิษโบทูลินัมจนต้องเข้ารักษาตัวในอาการวิกฤต ต้นเหตุมาจากความเชื่อในวิธีการรักษาแบบดั้งเดิม ยายให้เด็กดื่มน้ำผึ้งเพื่อบรรเทาอาการไอและบำรุงปอด ทว่ากลับกลายเป็น “ยาพิษ” สำหรับร่างกายบอบบางของทารกแทน
นายหยวน กวงเฟิง รองผู้อำนวยการศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านอาหารและสุขภาพ Kexin ประเทศจีน เปิดเผยว่า กรณีเด็กเล็กได้รับอันตรายจากการบริโภคน้ำผึ้งนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก และบางรายถึงขั้นเสียชีวิต
ตัวอย่างเช่น ในปี 2020 ทารกวัย 6 เดือนในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เสียชีวิตจากพิษโบทูลินัมหลังรับประทานอาหารที่มีน้ำผึ้งผสม หรือย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 1970 สหรัฐอเมริกาพบผู้เสียชีวิตรายแรกจากเชื้อ Clostridium botulinum ในทารกที่บริโภคน้ำผึ้ง
เหตุการณ์สะเทือนใจเหล่านี้ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกออกคำเตือน “ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีบริโภคน้ำผึ้งในทุกรูปแบบ”
ทำไมน้ำผึ้งอาจทำให้เกิดพิษโบทูลินัม และอันตรายแค่ไหน?
น้ำผึ้งถูกยกให้เป็นอาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการไอ ช่วยให้ชุ่มคอ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม มีน้อยคนที่รู้ว่า ในน้ำผึ้งอาจมีสปอร์ของแบคทีเรีย Clostridium botulinum ซึ่งเป็นต้นเหตุของพิษโบทูลินัม
นายหยวน กวงเฟิง อธิบายว่า สปอร์ของแบคทีเรียชนิดนี้ทนความร้อนสูง และไม่สามารถถูกทำลายได้ด้วยการต้มตามปกติ หากเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม สปอร์เหล่านี้สามารถเจริญเติบโตและปล่อยสารพิษโบทูลินัม ซึ่งเป็นหนึ่งในสารพิษต่อระบบประสาทที่ร้ายแรงที่สุดในโลก สารพิษนี้จะขัดขวางการส่งสัญญาณประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หายใจลำบาก และหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจถึงแก่ชีวิต
ROMAN ODINTSOV
ทำไมน้ำผึ้งอันตรายต่อทารก แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ใหญ่?
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ระบบย่อยอาหารของทารกอายุต่ำกว่า 1 ปียังพัฒนาไม่สมบูรณ์ และยังไม่มีแบคทีเรียชนิดดีเพียงพอที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของ Clostridium botulinum ทำให้ทารกมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและเกิดพิษจากน้ำผึ้ง ในขณะที่ผู้ใหญ่และเด็กโตมีระบบทางเดินอาหารที่แข็งแรงพอจะต้านทานแบคทีเรียชนิดนี้
อาการของพิษโบทูลินัมในระยะแรก ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ จากนั้นอาจมี สายตามัว หนังตาตก กลืนลำบาก เสียงแหบ หากรุนแรงขึ้น อาจทำให้ กล้ามเนื้อระบบหายใจเป็นอัมพาต และเสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยอัตราการเสียชีวิตจากพิษนี้อยู่ที่ 20 – 40%
การรักษาจำเป็นต้องใช้เซรุ่มต้านพิษโดยเฉพาะ ซึ่งหายากและประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการวินิจฉัยและรักษา
จะป้องกันทารกจากความเสี่ยงต่อพิษโบทูลินัมได้อย่างไร?
เพื่อป้องกันพิษโบทูลินัม โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้ปกครองและผู้ดูแลควรระมัดระวังสิ่งต่อไปนี้:
- ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีรับประทานน้ำผึ้ง ในทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และหลายองค์กรทางการแพทย์ทั่วโลก
-
ระมัดระวังอาหารหมักหรือทำเองที่บ้าน โดยเฉพาะอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ไข่ ปลาเค็ม ไส้กรอก เพราะอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสปอร์ Clostridium botulinum
-
ปรุงอาหารให้สุกก่อนรับประทาน เพราะสารพิษโบทูลินัมสามารถถูกทำลายได้เมื่อปรุงที่อุณหภูมิ 100°C เป็นเวลา 10 นาที
-
ดูแลความสะอาดและความปลอดภัยของอาหาร หลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่บรรจุในถุงสุญญากาศหรืออาหารที่ไม่ทราบแหล่งที่มา
จากเหตุการณ์สะเทือนใจนี้ นายหยวน กวงเฟิง ยังเตือนผู้ปกครองว่า ไม่ใช่อาหารทุกชนิดจะเหมาะสมกับเด็ก แม้จะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพของผู้ใหญ่ การมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะช่วยปกป้องเด็กจากอันตรายที่แอบแฝงในชีวิตประจำวันได้ดีที่สุด