เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 14 ก.ย.2564 โทนี่ วู้ดซัม (Tony Woodsome) หรือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยผ่านรายการ CareTalk x CareClubHouse ในหัวข้อ “อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของการเมืองไทย – แล้วอนาคตของเยาวชนไทยจะเป็นอย่างไร”
โดยกล่าวถึงเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 ว่า ต้องว่าตัวเองก่อนว่าเป็นคนซื่อบื้อ แม่ผมเตือนเสมอว่าแม้จะมีความฉลาด ไหวพริบดี แต่ซื่อ เพราะโตมาจากต่างจังหวัด พอมาอยู่กรุงเทพก็อยู่โรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งอยู่ในกรอบ เมื่อเรียนจบก็ได้ทุนไปเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกที่อเมริกา ดังนั้น การที่จะได้เรียนรู้สังคมอีลิท หรือสังคมคนในวัง ไม่มีเลย มาเข้าใจอีกทีก็เมื่อลี้ภัยอยู่ต่างประเทศแล้ว
“ผมเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่ออายุ 51 ปีครึ่ง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ปลัด อธิบดี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ก็อายุประมาณ 59 ปีแล้ว ถือว่าแก่กว่าผมหมด ทั้งนี้ เมื่ออธิบดีมาหาที่ห้องทำงาน ผมก็ยกมือไหว้ก่อน เพราะถือว่าอายุน้อยกว่า แม้จะเป็นนายกฯก็ตาม แต่บางครั้งสังคมไทยอาจรับไม่ได้ บางคนก็ยังมองเราเป็นเด็กอยู่ ทั้งๆที่เราเป็นนายกฯมีหน้าที่บังคับบัญชา“
โทนี่ เล่าย้อนไปสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ระบุ ถือว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุขแห่งรัฐ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีผู้บังคับบัญชาคือประมุขแห่งรัฐ ซึ่งนอกจากการเคารพในฐานะเป็นในหลวงของเราแล้ว ยังเคารพในฐานะผู้บังคับบัญชาด้วย
เขา กล่าวว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งหมอคนหนึ่งที่ถวายการรักษาพระเจ้าอยู่หัว มาบอกว่าจะทำอย่างไรดี อยากให้พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงออกกำลัง ไม่อย่างนั้นจะเดินไม่ได้ และตอนนั้นก็พอดีใกล้จะครบ 60 ปีของการขึ้นครองราชย์ ตนก็เลยไปกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอจัดงานฉลอง 60 ปีที่ทรงครองราช ตั้งใจจะเชิญพระมหากษัตริย์ทั่วโลกมาร่วมงาน ซึ่งพระองค์ท่านรับสั่งว่า เขาจะมากันหรือ เพราะตอน 50 ปีก็มีควีน อลิซาเบธ เสด็จมาหลังจากพิธีแล้วหลายเดือน
“ผมก็เลยกราบบังคมทูลว่ามีความมั่นใจว่าอย่างน้อย 10 พระองค์มาได้ เพราะได้คุยแล้ว ที่สุดแล้วปรากฏว่ามาทั้งหมด 26 พระองค์จากที่ทั่วโลกมีพระมหากษัตริย์ 29 พระองค์รวมไทย ท่านก็เลยรับสั่งว่า อย่างนั้นฉันต้องออกกำลัง เพราะวันนั้นฉันต้องแข็งแรงเป็นพิเศษ กระทั่งวันที่ 22 มิ.ย.ซึ่งจะมีงานเลี้ยงใหญ่ ท่านทรงแข็งแรงจริงๆ“
โทนี่ กล่าวว่า “การดำเนินการครั้งนั้นรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ โดยได้เชิญแขกจากทั่วโลก แล้วในงานกองพิธีการของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักพระราชวัง ได้กำหนดให้ผมยืนอยู่ข้างล่าง เพื่อรับแขก ซึ่งคนไม่รู้ ดูเหมือนกับว่าผมไปแย่งรับแขกของพระเจ้าอยู่หัว เพราะผมเป็นเจ้าภาพ และเขาสั่งให้ผมไปยืนอยู่ตรงนั้น ผมก็ไม่รู้เรื่อง ผมทำตามเจ้าหน้าที่บอก และด้วยความที่ผมเดินทางเยอะ ก็รู้จักคนเยอะ ก็ได้ทักทายกัน การเป็นเพื่อนเป็นฝูงกับกษัตริย์ต่างประเทศมันมีอยู่ เจอกันก็ทักทายกันเอง แต่ก็มีคนไปหาว่าผมไปโชว์ดีล ซึ่งเป็นเรื่องของคนในรอบวังอาจจะเข้าใจผมผิด แต่ไม่ใช่พระเจ้าอยู่หัว“