หลังจากที่ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ ได้มีการโพสต์ประกาศ ว่าจะมีการเข้าไปที่ กรมสรรพากร เพื่อเข้าตรวจสอบรายระเอียดภาษี ณ วันที่ 10 พ.ค. 66 โดยมีการระบุรายละเอียด ว่า “ทนายอั๋น บุรีรัมย์ ขอเรียนแจ้งกำหนดการพรุ่งนี้ 11 พฤษภาคม 66 เวลาประมาณ 10.30 น. จะเข้ายื่นหนังสือขอให้ตรวจ สอบการเสียภาษีเงินได้ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด พร้อมกับบุคคลอีกรวม 10 คน ต่อกรมสรรพากร และแจ้งให้สรรพากร ไปทำการร้องทุกข์ ต่อดีเอสไอ ตามที่ผมแจ้งร้องให้ตรวจสอบก่อนหน้า เวลาประมาณ 11.30 น. นำพนักงานตำรวจ (ยศรองผู้ รองกำกับ ) ผู้เสียหายที่ถูกนายทหาร(ระดับเสธ.) โกง เงินค่าชุดตำรวจ โดยจะยื่นหนังสือร้องเรียนพนักงาน อัยการ ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อประธานกรรมการ อัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด”
ล่าสุด วันนี้ (11 พ.ค. 66) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ “คนรุ่นใหม่ ประชาธิปไตยบริสุทธิ์” ยื่นหนังสือขอให้กรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษีของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมกับบุคคลใกล้ชิดอีก 10-11 คน และแจ้งให้กรมสรรพากร ไปดําเนินการร้องทุกข์ ต่อดีเอสไอ เพื่อให้ทางดีเอสไอ สามารถเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินและภาษีเงินได้ของบริษัท Sittra Law Firm ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาหรือไม่
- กวาดเรียบ! ชาวต่างชาติชนยับ อุบัติเหตุซ้ำซ้อน รวม 4 คันรวด ดับ 1
- “พรรคภูมิใจไทย” ยื่นฟ้อง “ชูวิทย์” เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
- ศรีสุวรรณ จ่อเรียก 1 ล้าน มือตบปากแตก ลั่น ไม่ต้องการคำขอโทษ
ทนายอั๋น กล่าวว่า การที่ ทนายตั้ม เคยจัดแถลงชี้แจงว่า เขานั้นเริ่มมีฐานะและมีรายได้เข้ามาในปี 2565 ซึ่งอย่าย้อนไปดูรายได้ปีก่อนๆ เพราะตอนนั้นไม่มีรายได้ ซึ่งตนเองตรวจสอบแล้วพบว่าในเดือนมกราคมปี 2564 ที่ทนายตั้มเดินทางไปเหยียบบ้านกกกอก มีการสวมใส่นาฬิกาหรูเรือนละกว่า 3 ล้านบาท
ต่อมาในปีเดียวกัน ช่วงเดือน มิถุนายน มี รถปอร์เช่ ในช่วงทํา คดีลุงพล รวมถึงการที่ครอบครัวดื่มไวน์จํานวนหลายขวด ที่มีราคาขวดละหลายหมื่นบาท ยังไม่รวมการภรรยาของทนายตั้ม ที่ใช้ชีวิตหรูหราตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งขัดกับคําแถลงของทนายตั้มที่กล่าวว่าเริ่มมีทรัพย์สินในปี 2565
นอกจากนี้ ทนายตั้ม ไม่เคยออกมาปฏิเสธ ว่าทรัพย์สินต่างๆนั้นไม่ใช่ของเขา และแน่นอนว่าในปี 2564 ทนายตั้ม ไม่มีการเสียภาษี อย่างแน่นอน
จากการตรวจสอบงบดุลบริษัท ชัดเจนว่ามีการรายงานข้อเท็จจริงน้อยมาก ซึ่งอยู่ๆมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทจากขาดทุนมาโดยตลอดกลับกลาย เป็นมีกําไรสูง ถึง 22 ล้านบาท
ทนายอั๋น กล่าวต่ออีกว่า ตนเดินทางมาขอให้กรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษีของทนายตั้ม โดยก่อนหน้านี้ตนได้ยื่นเรื่องไปทางดีเอสไอแล้ว หากกรมสรรพากร ตรวจสอบแล้วพบว่า ทนายตั้ม มีเจตนาบิดเบือนหารเสียภาษี ดังนั้นกรมสรรพากรมีหน้าที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ และกรมสรรพากรจะต้องมีคําตอบที่สังคมยอมรับ
สําหรับบุคคลอื่นๆที่ทนายอั๋นนํามายื่มเพิ่มจํานวน 10-11 คนนั้น เป็นบุคคบใกล้ชัดทนายตั้ม มีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
ทนายอั๋น กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากจบเลือกตั้งใหญ่วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ตนจะดําเนินการยื่นหนังสือให้ทางสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ตรวจสอบวีซ่าของทนายตั้ม ซึ่งทางทนายตั้มอ้างว่า ที่เดินทางไปฝรั่งเศสเป็นการเดินทางไปทำงานว่าความทางกฎหมาย จึงอยากทราบว่า ทนายตั้มมีวีซ่าสำหรับบุคคลทำงานในต่างประเทศหรือในประเทศฝรั่งเศสหรือไม่ รวมถึงจะตรวจสอบตัวของลูกความทนายตั้มที่พาออกมาร่วมแถลงข่าวก่อนหน้านี้ด้วยว่าคือใครและทําธุรกิจอะไรอยู่ที่ฝรั่งเศสกันแน่
ทั้งนี้ ทนายอั๋น มั่นใจว่าหลังเลือกตั้งใหญ่หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เชื่อว่าทนายตั้มลําบากแน่นอน และยืนยันว่าตนเองไม่มีใครหนุนหลัง ออกมาทําเพื่อสังคม ยอมรับเคยคุยกับคุณชูวิทย์แค่ครั้งเดียว และไม่ได้เป็นข้อมูลเชิงลึกอะไร พร้อมยืนยันด้วยว่าจะเดินหน้าตรวจสอบทนายตั้มต่อไป
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่นๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY