ฟุตบอลโลก 2022 ในประเทศไทยเริ่มคึกคัก ภาคเอกชนโดดสนับสนุนเพิ่ม ยอดรวมพุ่งถึง 700 ล้านบาท ดร.ก้องศักด์ ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. ยันยังเปิดรับภาคเอกชนเพิ่มเพื่อระดมทุนยกระดับการถ่ายทอดสด เผยค่าดำเนินการ 100 ล้านบาท ถือว่าเพียงพอ

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 ที่กรู๊ฟแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย แถลงข่าวขอบคุณผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก กาตาร์ 2020 ทั้งในส่วนภาครัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานบอร์ดกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และประธานบอร์ดการกีฬาแห่งประเทศไทย

ร่วมด้วยภาคเอกชน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), น้ำแร่ธรรมชาติ ตราช้าง, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน), บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมมอบความสุขให้คนไทย ได้ดูบอลโลกฟรีครบทั้ง 64 แมตช์

โดยการถ่ายทอดสด สับเปลี่ยนหมุนเวียนใน 17 ช่องทีวีดิจิทัล ได้แก่ ช่อง TRUE4U, T Sports 7, JKN 18, CH3, MONO29, CH7, ไทยรัฐTV, ThaiPBS, CH8, PPTV36, NBT, GMM25, 9MCOT, Nation TV, AMARIN 34HD, one31 และ ททบ.5

ดร.ก้องศักด ยอดมณี เปิดเผยว่า หลายฝ่ายพยายามทุ่มเททำงานกันอย่างหนักตลอด 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนสามารถเจรจากับผู้แทนของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) จนได้ราคาลิขสิทธิ์ที่ลงตัว 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมค่าภาษีและการดำเนินการต่าง ๆ ด้วย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท

สำหรับการชำระค่าลิขสิทธิ์ทางฟีฟ่า ให้ประเทศไทยแบ่งชำระ 2 งวด คือ งวดแรก ก่อนเกมนัดเปิดสนาม ซึ่งใช้งบประมาณที่ได้รับมาจาก กสทช.ชำระไปแล้ว 600 ล้านบาท และอีกงวด 600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินสนับสนุนจากภาคเอกชน ที่จะชำระภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้

นอกจากการรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก กาตาร์ 2022 ระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน- 18 ธันวาคม 2565 ผ่านทางฟรีทีวี ทั้ง 17 ช่องแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมสร้างกระแสชมเชียร์ ดูจอใหญ่ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยจะมีการตั้งจอใหญ่ให้ได้ชมเชียร์กันเต็มอิ่มตลอดการแข่งขัน ที่กรุงเทพฯ สามารถดูได้ที่ กรูฟแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ในส่วนภูมิภาคสามารถรับชมได้ในจังหวัดเชียงใหม่ สุพรรณบุรี ชลบุรี นครราชสีมา และสงขลา เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรับชม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาคเอกชนร่วมสนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครั้งนี้ รวมเป็นเงิน 700 ล้านบาท แยกเป็น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 300 ล้านบาท, น้ำแร่ธรรมชาติ ตราช้าง 100 ล้านบาท , บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 100 ล้านบาท, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ 20 ล้านบาท, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 20 ล้านบาท, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 10 ล้านบาท, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท, ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า เรื่องเงินที่ได้มา ณ ตอนนี้ถือว่าครอบคุมแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เราพยายามต่อรองกับทางฟีฟ่า เนื่องจากเรารู้ว่าเรามีเงินอยู่เท่าไหร่ และเราก็รู้ว่าราคาที่เราควรจะซื้อนั้นอยู่ประมาณเท่าไหร่ ต้องไม่แพงเกินกว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ระแวกใกล้เคียงกัน ซึ่งครั้งนี้ถือว่าถูกกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วอีกด้วยถือว่าคุ้มค่าแน่นอน

“เรื่องผู้สนับสนุนจากภาคเอกชน แม้ว่าจะได้งบประมาณเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังเปิดกว้างรับผู้สนับสนุนจากภาคเอกชนเข้ามาเพิ่ม เพื่อจะนำเงินไปพัฒนาทุกแพลตฟอร์มในการถ่ายทอดสดให้ดีขึ้นไปอีก ซึ่ง ณ เวลานี้ วงเงินที่จะต้องจ่ายให้ฟีฟ่า นั้นราวๆ 1200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของค่าใช่จ่ายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นค่าดำเนินการถ่ายทอดสดอีกราว 100 ล้านบาท คิดว่าเพียงพอแล้วไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนเรื่องของภาษี นั้นก็ต้องมาคุยกันซึ่งทางออกยังมีอีกหลายทาง เช่นการของดเว้นภาษี, การขอลดย่อนภาษีจากส่วนอื่นๆ ก็สามารรถทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องในประเทศ ที่สามารถมาคุยกันได้ไม่มีปัญหา”

แฟนฟุตบอลห้ามพลาด กับศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ถ่ายทอดสดครบทั้ง 64 แมตช์ จากประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคมนี้ ที่ทรูวิชั่นส์ ช่องทรู สปอร์ตส 2 (667), ทรู สปอร์ตส 5 (684) และ ทรู โฟร์ยู