อาจจะทำเอาหลายต่อหลายคนหูผึ่งขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำว่า “เที่ยว” ในสถานการณ์ที่เรารู้ ๆ กันว่าเป็นอย่างไร เพราะในช่วงเวลาที่เราถูกจำกัดการเดินทางมายาวนานแล้วแบบนี้ การที่ผู้คนจะโหยหาการเที่ยวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ประเมินเวลาแล้วก็ราว ๆ 2 ปี ที่คนทั่วโลกไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างอิสระดังใจหวัง
ลำพังแค่ภาครัฐประกาศคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้ผ่อนคลายลง ผู้คนก็รู้สึกว่าชีวิตค่อนข้างใกล้เคียงปกติที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ ยิ่งมีโครงการเก่าจากภาครัฐอย่าง “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่ ณ เวลานี้ เดินทางมาถึงระยะที่ 3 แล้ว ช่วยสนับสนุนการเดินทางของประชาชนและลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนลงด้วยเช่นนี้ ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศได้ดีตามที่หลาย ๆ ฝ่ายคาดหวังไว้
สำหรับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” เริ่มเปิดให้ประชานชนลงทะเบียนรับสิทธิมาตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2564 และจะเปิดยาวไปจนถึง 31 มกราคม 2565 โดยจะเริ่มให้ check-in เข้าที่พักที่จองไว้ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ในส่วนของสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในการเข้าร่วมโครงการ มีรายละเอียดดังนี้
สนับสนุนส่วนลดค่าโรงแรมที่พัก
- รัฐบาลสนับสนุนค่าโรงแรม 40 เปอร์เซ็นต์ ของราคาที่พัก/ห้อง/คืน ทั้งนี้ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน
- จำกัดสิทธิคนละไม่เกิน 15 ห้อง หรือ 15 คืน
- เมื่อจองที่พักแล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้ แต่สามารถเลื่อนวันเข้าพักได้ และการเลื่อนเข้าพักต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด
สนับสนุนส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว
- รัฐบาลจะสนับสนุนคูปองอาหาร/ท่องเที่ยวมูลค่า 600 บาทต่อห้องต่อคืน ให้กับประชาชน เมื่อได้ check-in โรงแรมสำเร็จแล้ว
- ประชาชนจะได้รับคูปองอาหาร/ท่องเที่ยว วันละ 1 ครั้ง หลังเวลา 17.00 น. ของวัน check-in โดยคูปองจะหมดอายุเวลา 23.59 น. ของวัน check-out
- คูปองอาหาร/ท่องเที่ยวสามารถใช้ได้ที่ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการ โดยประชาชนจะชำระ 60 เปอร์เซ็นต์ และรัฐบาลสนับสนุนอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ผ่านการตัดเงินจากคูปอง
สนับสนุนค่าเดินทางโดยเครื่องบิน
- ประชาชนที่เข้ามากรอกข้อมูลเพื่อรับเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน จะต้องเป็นผู้ที่จองโรงแรมผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันเท่านั้น โดยมีสิทธิในการได้รับเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 2 สิทธิผู้โดยสาร/ 1 ห้องโรงแรมที่จอง ทั้งนี้เงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินเท่ากับ 40 เปอร์เซ็นต์ ของราคาค่าตั๋วเครื่องบิน แต่ไม่เกิน 2,000 บาท ต่อผู้โดยสาร
- สิทธิเพิ่มเติมรับเงินสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินเท่ากับ 40 เปอร์เซ็นต์ ของราคาตั๋วเครื่องบิน แต่ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อผู้โดยสาร เมื่อเดินทางท่องเที่ยวไปยัง ภูเก็ต พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ และเชียงราย
- ประชาชนต้องจ่ายเงินค่าตั๋วเต็มจำนวนไปก่อน ณ ตอนจองตั๋วเครื่องบิน และต้องมีการเดินทางในเที่ยวบินนั้นจริง รวมถึง check-in และ check-out ที่โรงแรมที่จองไว้กับโครงการจริง
- ตั๋วเครื่องบินเป็นประเภทไปหรือกลับ หรือทั้งไปและกลับจากจังหวัดที่อยู่ภาคเดียวกันจังหวัดที่จองโรงแรม (กรณีขึ้นลงคนละจังหวัดก็สามารถทำได้ กับเป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคเดียวกันกับจังหวัดที่จองโรงแรม)
- วันที่เดินทางไปหรือกลับ ต้องไม่ห่างจากวัน check-in หรือ check-out โรงแรมที่จองผ่านโครงการไม่เกิน 5 วัน และการเดินทางกลับจากการท่องเที่ยวจะต้องอยู่ภายใน 31 มกราคม 65
ยังมีสิทธิเหลืออยู่หรือไม่?
ตั้งแต่เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2564 นั้น ข้อมูลอัปเดตล่าสุด (15 ตุลาคม 2564) พบว่าขณะนี้ มีการใช้สิทธิจองที่พักจำนวน 308,518 สิทธิ มีจำนวนสิทธิที่พักเหลือ 1,691,482 สิทธิ จากทั้งหมดที่เปิดให้จอง 2,000,000 สิทธิ ส่วนการใช้สิทธิจองตั๋วเครื่องบินอยู่ที่ 736,868 สิทธิ มีจำนวนสิทธิตั๋วเครื่องบินเหลือ 1,263,132 สิทธิ จากทั้งหมดที่เปิดให้จอง 2,000,000 สิทธิเช่นเดียวกัน
ฉะนั้น ใครที่ยังไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะไปไหน ขณะนี้ยังเหลือสิทธิอีกเป็นจำนวนมาก ค่อย ๆ คิดวางแผน ดูว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี! แล้วรีบกดจองเลย
คุณสมบัติผู้ที่ลงทะเบียน “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3”
- เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน
- อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
- ประชาชนจะได้รับสิทธิเมื่อลงทะเบียนสำเร็จ สามารถใช้จ่ายในโรงแรม ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยวได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้น จังหวัดตามทะเบียนบ้านของผู้ใช้สิทธิ
- ประชาชนที่เคยลงทะเบียนโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 1 และ 2 แล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนรับสิทธิใหม่ สามารถใช้สิทธิที่คงเหลือต่อได้
อยากจองใช้สิทธิ ต้องทำอย่างไรบ้าง
เว็บไซต์ เราเที่ยวด้วยกัน.com ได้อธิบายรายละเอียดขั้นตอนการจองโรงแรม-ที่พัก เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ไว้ดังนี้
1. NO NEED to register
ประชาชนที่เคยลงทะเบียนเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 1 และ 2 แล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สามารถใช้สิทธิที่คงเหลือต่อได้ ส่วนประชาชนที่ไม่เคยลงทะเบียนเราเที่ยวด้วยกันต้องลงทะเบียนใหม่ โดยเริ่มจองโรงแรม/ที่พัก ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 64 – 23 ม.ค. 65 (วันจองวันสุดท้าย) ระหว่างเวลา 06.00 – 23.00 น.
2. ประชาชน Booking
ต้องจองโรงแรมล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน โดยติดต่อทางโรงแรมโดยตรง (ไม่เกิน 15 ห้อง/คืน/คน)
3. โรงแรม Booking
โรงแรมจะตรวจสอบเงื่อนไขและตรวจสอบห้องว่าง ผ่านทางแอปฯ ถุงเงิน (ไม่สามารถจองโรงแรมที่อยู่จังหวัดเดียวกับทะเบียนบ้านได้)
4. Payment
รับการแจ้งเตือนและชำระค่าที่พัก 60 เปอร์เซ็นต์ของที่พัก ผ่านช่องทาง G-Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง
5. Payment successful
รับการแจ้งเตือน การจองสำเร็จ แสดงคูปองเช็กอินที่พักบนแอปฯ เป๋าตัง
6. Check in
เช็กอิน ณ โรงแรม เมื่อถึงวันที่เข้าพัก โดยสแกน QR เช็กอินบนแอปฯ เป๋าตัง จากนั้นสแกนหน้าบนแอปฯ ถุงเงิน ประชาชนจะได้รับ e-voucher 600 บาท/คืน ณ เวลา 17.00 น. ของวัน (ไม่สามารถเช็กอินโรงแรม หรือใช้จ่ายคูปองอาหาร/ท่องเที่ยว กับร้านที่อยู่ในจังหวัดเดียวกันกับทะเบียนบ้านได้)
7. Check out
เช็กเอาต์โรงแรม ประชาชนสามารถใช้จ่ายคูปองอาหาร/ท่องเที่ยว ได้ถึง 23.59 น. ของวันที่เช็กเอาต์
นักท่องเที่ยวจะไปที่ไหนกันบ้างในประเทศไทย
ข้อมูลจากสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) พบว่าจังหวัดยอดนิยม 10 อันดับแรกที่นักท่องเที่ยวอยากจะเดินทางไปเยือนนั้น มีดังนี้
- อันดับ 1 ตกเป็นของ จ.เชียงใหม่ (17.17%)
- อันดับ 2 จ.กระบี่ (12.10%)
- อันดับ 3 จ.ภูเก็ต (7.97%)
- อันดับ 4 จ.ชลบุรี (7.56%)
- อันดับ 5 จ.กาญจนบุรี (6.82%)
- อันดับ 6 กรุงเทพฯ (6.55%)
- อันดับ 7 จ.เพรชบูรณ์ (2.41%)
- อันดับ 8 จ.จันทบุรี (2.37%)
- อันดับ 9 จ.ประจวบคีรีขันธ์ (2.31%)
- และอันดับ 10 คือ จ.สุราษฎร์ธานี (2.11%)
จะเห็นว่าในอันดับที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นจังหวัดที่อยู่ในแผนเปิดโมเดลท่องเที่ยวแบบ Sandbox ทั้งสิ้น ในขณะที่กรุงเทพมหานครก็อยู่ในแผนโมเดลท่องเที่ยว แต่อยู่ในอันดับที่ 6 น่าจะเนื่องมาจากสถานการณ์โรคระบาดในกรุงเทพฯ ยังไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้านาน ๆ นั่นเอง
ฉะนั้น ถ้าอยากจะไปเที่ยวให้หายเครียด ก็เตรียมวางแผนได้เลยว่าจะไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนและเตรียมจองสิทธิ โดยสามารถเช็กกิจการที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ก่อนวางแผนจองที่พักหรือตั๋วเครื่องบินและลงทะเบียนขอรับสิทธิ ได้เลย