ความอยากรู้อยากเห็นนำภัยมาสู่ตัว เด็กชายวัย 13 ปี ปัสสาวะเป็นเลือด นานกว่า 1 สัปดาห์ หมอเฉลยตรวจเจออะไรท่อปัสสาวะ
เว็บไซต์ HK01 รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ พ่อแม่ของเด็กชายวัย 13 ปี จากเมืองหยางโจว มณฑลเจียงซู ประเทศจีน ได้พาตัวลูกชายมาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยหยางโจว โดยพ่อแม่แจ้งว่าเด็กชายมีอาการปัสสาวะเป็นเลือดมานานกว่า 1 สัปดาห์
เซียวหยู แพทย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยหยางโจว ได้วินิจฉัยว่าเด็กชายอาจมีนิ่วหรือสิ่งแปลกปลอมในท่อปัสสาวะ
แต่เมื่อสอบถามเพิ่มเติมเด็กชายพูดไม่ชัดเจน และไม่ยอมให้ความร่วมมือ แพทย์จึงได้ทำการตรวจด้วยอัลตราซาวด์ระบบปัสสาวะเพื่อหาสาเหตุ
“ตอนนั้นตกใจมาก เมื่อพบว่ามีลูกปัดเหล็กหลายเม็ดอยู่ที่บริเวณด้านหลังของท่อปัสสาวะ” คุณหมอเซียวหยู กล่าว
หลังจากสอบถามเพิ่มเติม เด็กชายจึงยอมเปิดเผยว่าเมื่อกว่าสัปดาห์ที่แล้ว เขาได้ใส่ บัคกี้บอล หรือ ลูกปัดแม่เหล็ก ของเล่นในบ้าน จำนวนกว่า 20 เม็ด เข้าไปในท่อปัสสาวะ
เนื่องจากลูกปัดแม่เหล็กอยู่ในท่อปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้สถานการณ์ค่อนข้างอันตราย แพทย์จึงให้เด็กชายเข้าพักในโรงพยาบาล และดำเนินการผ่าตัดฉุกเฉินในวันเดียวกัน
ในระหว่างการผ่าตัดพบว่าลูกปัดแม่เหล็กมีสนิมเกาะ และติดแน่นกับท่อปัสสาวะจนทำให้เกิดความเสียหาย แพทย์ได้นำลูกปัดแม่เหล็กเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ จากนั้นใช้กล้องส่องกระเพาะปัสสาวะ และค่อย ๆ นำลูกปัดแม่เหล็กออกมา
ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า 1 ชั่วโมง ลูกปัดทั้งหมดถูกนำออกสำเร็จ หลังจากการรักษา เด็กชายได้ฟื้นตัวและออกจากโรงพยาบาลแล้ว
คุณหมอเซียวหยู กล่าวต่อว่า วัยรุ่นมักมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนั้นการพบสิ่งแปลกปลอมในกระเพาะปัสสาวะจึงเป็นเคสที่พบบ่อย ๆ
สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ท่อปัสสาวะบางครั้งอาจหลุดไปยังกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อย, ปวดปัสสาวะ, ปัสสาวะเป็นเลือด และอาการอื่น ๆ
ในเคสที่รุนแรง สิ่งแปลกปลอมอาจทะลุกระเพาะปัสสาวะ และทำให้เกิดความเสียหายต่อลำไส้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
นอกจากนี้ กรณีที่เด็กกลืนลูกปัดแม่เหล็กก็พบได้บ่อย โดยทั่วไปแล้วลูกปัดแม่เหล็กที่ถูกกลืนไปจะเคลื่อนที่ไปกับอาหารเข้าสู่ลำไส้ ถ้าเป็นเพียงชิ้นเดียวอาจจะถูกขับออกมาได้เอง
แต่หากกลืนหลายลูก ปัญหาคือมันอาจจะดูดเกาะกันในร่างกายและอาจทำให้ลำไส้ติดกัน เกิดการเจาะลำไส้หรืออันตรายถึงชีวิตได้
คุณหมอเซียวห ยูกล่าวเตือนว่า โรงเรียนและครอบครัวควรให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่องเพศสำหรับวัยรุ่น เพื่อชี้แนะให้เด็ก ๆ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงวัยรุ่นอย่างถูกต้อง
หากพบว่าเด็กมีอาการผิดปกติ ควรสอบถามอย่างใจเย็นและไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม