ดีเบตสุดมันส์ “วินท์” ลั่นทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมาย “ศิธา” ฉะบางพรรคเลิกหาเสียงใส่ร้ายพรรคอื่นชังชาติ “เต้น”ชี้ไม่มีใครชังชาติ แต่อยากไล่คนยึดอำนาจออกจากรัฐบาล
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 2 พ.ค. 2566 ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ มติชนxเดลินิวส์ จัดเวทีดีเบต “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR” โดยยกทัพพรรคการเมืองชั้นนำครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งขุนพลเลือดใหม่ (Young blood) ขุนศึกตัวตึง-ตัวเก๋า และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชันนโยบาย เพื่อนับถอยหลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
จากนั้น เวลา 14.00 น. เข้าสู่รอบที่ 2 เวที “ขุนศึก ประจัญบาน” โดยบุคคลสำคัญในแต่ละพรรค ร่วมประชันประเด็นหลักที่พรรคใช้หาเสียง อธิบายเหตุผลในการเลือกใช้กลยุทธ์-นโยบายในช่วงโค้งสุดท้าย พร้อมดีเบตโต้แย้งกับตัวแทนจากพรรคต่างๆ ทั้งในประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
โดยพรรคการเมืองในกลุ่ม A ประกอบด้วย นายวินท์ สุธีรชัย ทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ตอบคำถามแรก ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับแนวคิดไล่คนชังชาติออกนอกประเทศ
โดยนายวินท์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีขื่อมีแปร ไม่เช่นนั้นก็เกิดความวุ่นวาย เราอยู่ในกฎหมายที่ทุกคนต้องทำตาม แต่ถ้าใครเป็นกบฏถือว่ามีโทษสูงสุดประหารชีวิต พรรครวมไทยสร้างชาติมีความเป็นประชาธิปไตย หรือว่าเราอยากเป็นเหมือนประเทศสิงคโปร์หรือไม่ มีคนด่านายกฯ ก็ติดคุก ในห้องนี้มีคนด่านายกฯ เต็มไปหมด แต่ไม่มีใครติดคุก หากเราไม่มีประชาธิปไตย เราคงไม่ต้องออกหาเสียง เพราะเราเป็นประชาธิปไตย จึงมีการเลือกตั้งในครั้งนี้
จากนั้น น.ต.ศิธา กล่าวว่า ตนติดตามข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตอย่างละเอียด เวลามีการกล่าวหาว่าใครชังชาติ เขามักจะตอบว่าไม่ได้ชังชาติ แต่เขาชังมึง การที่จะไปบอกว่าใครคนใดคนหนึ่งชังชาติ เพื่อคะแนนเสียงให้ตัวเอง ตนเปรียบเทียบตลอดว่าการทำให้ตัวเองดีขึ้น โดยเหยียบหัวคนอื่นให้ต่ำลง บอกพรรคนี้ชังชาติ พรรคนี้ล้มเจ้า ตนกลัวว่าคนที่ออกไปเลือกตั้ง 37 ล้านเสียง เกิดมี 10 ล้านเสียง เลือกพรรคที่ชังชาติหรือล้มเจ้าแบบนั้นคงไม่ใช่
“ผมยืนยันในฐานะที่เคยเป็นทหาร ผมสวนสนามสาบานตน มีความจงรักภักดี และเชื่อว่าทุกพรรคยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉะนั้น มุกพวกนี้เลิกเสียที คนที่เป็นผู้ใหญ่อีกไม่กี่วันก็ล้มหายตายจาย ถ้าไม่คุยกับเด็กวันนี้ คุณตายไปเด็กไม่มาคุยด้วยแล้ว ถ้ารักชาติด้วยเหตุผลจะทำให้ชาติไทยสถาพรยืนยงได้ตลอดไป ถ้าอยากให้ประเทศไทยยืนยงต่อไปก็อย่าหาเสียงแบบนี้เลย” น.ต.ศิธา กล่าว
น.ต.ศิธา กล่าวต่อว่า ถ้าประเทศไทยมีประชาธิปไตยแบบสิงคโปร์ป่านนี้เจริญไปเยอะแล้ว เพราะไม่มีทหาร ไม่มีอาวุธปืนที่เป็นภาษีประชาชนมายึดอำนาจของประชาชนไป การเมืองที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบยึดอำนาจเข้ามา แต่งตั้งองค์กรอิสระของตัวเองเข้าไปหมด ยัดส.ว. 250 คนไปเลือกนายกฯ แทนประชาชน แบบนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ใครบอกจะก้าวข้ามความขัดแย้งแบบนี้ ถ้าเสนอมาอีก ตนก็จะเสนอก้าวฟาดความขัดแย้งอีกที
จากนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการอ้างว่าเป็นคนชังชาติ เพราะไม่มีคนไทยคนไหนชังชาติ แต่อยากไล่คนยึดอำนาจออกจากรัฐบาล ประชาชนคือเจ้าของประเทศที่แท้จริง พรรคเพื่อไทยจะร่างรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชน อยู่ในกฎกติการะบอบประชาธิปไตย ให้กองทัพอยู่ภายใต้ประชาชน และหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแบบชนะขาด เราไม่เหยียบย่ำคนแพ้ แต่ให้คนแพ้ยอมรับความพ่ายแพ้ ปืนไม่มีความหมายถ้ากองทัพไม่ได้รับใช้ประชาชน
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ประชาธิปไตย ไม่ได้ชี้วัดแค่ด่านายกฯ แล้วไม่ติดคุก แต่คณะรัฐประหารไม่เคยติดคุกมากกว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะรื้อกฎหมาย ระบุว่าการรัฐประหารเป็นกบฏ ไม่มีอายุความ ชดใช้ในสิ่งที่ทำไป ตนไม่เชื่อคำพูดก้าวข้ามความขัดแย้งแบบลอยๆ เพราะคนที่พูดอยู่ในกระบวนการความขัดแย้งทั้งสิ้น
จากนั้น เป็นคำถามที่สอง ถามว่ารัฐควรให้เงินช่วยเหลือประชาชน โดยช่วยเฉพาะกลุ่มคนที่ยากจนลำบาก หรือช่วยเหลือแบบถ้วนหน้าเท้าเทียม โดยน.ต.ศิธา กล่าวว่า ก่อนจะพูดถึงเรื่องนี้ต้องดูว่ารัฐมีความจำเป็นต้องใช้เงินหรือไม่ 8-9 ปีที่ผ่านมา ยึดอำนาจไปแล้วเอาหนังแกะมาคลุมว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่ประชาชนทุกข์ยากแสนสาหัส ประเทศชาติย่ำแย่จากวิกฤตการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจโลก วิกฤตโควิด-19 ประเทศไปไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้จำเป็นต้องมีเงินที่เป็นยาแรงลงไปหาพี่น้องประชาชน เมื่อจำเป็นต้องใช้จึงแล้วแต่มุมมองแต่ละคนแต่ละพรรค ซึ่งทุกนโยบายของทุกพรรคมีความจำเป็นให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อีกครั้ง
ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายการใช้เม็ดเงินในโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สุดในประเทศไทย มีนโยบายอุดหนุนเงินครอบครัว ขยายการเติบโตเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุน จากภายในประเทศและต่างประเทศ ให้คนตัวใต ตัวเล็ก ตัวกลาง ให้ทุกคนได้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน ทุกวันนี้สภาพเศรษฐกิจไม่ได้เกิดจากไม่มีงบประมาณ แต่เกิดจากความไม่มีความสามารถ ไม่มีพลังงานในการแก้ปัญหา แล้วจะมีหน้าอยู่ต่อได้อย่างไร
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า เราไม่ได้เอาเงินไปให้คนร่ำรวย แต่คนรัฐประหารไปยึดอำนาจจากประชาชนคนจนทำไม จับลูกหลานคนยากคนจนทำไม เอาไปเกณฑ์ทหารทำไม เราไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะไม่ทิ้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เพราะจะดูแลด้วยเบี้ยสูงอายุ
ขณะที่ นายวินท์ กล่าวว่า ทุกพรรคหาเสียงว่าจะไถเงินคนรวย ไปช่วยคนจน ทั้งนี้ ทำไมในอดีตถึงเป็นการให้สวัสดิการถ้วนหน้า เพราะในอดีตไม่มีเทคโนโลยี บอกได้ว่าคนที่ลำบากอยู่ที่ไหน แต่พรรครวมไทยสร้างชาติมีส่วนร่วมในการสร้างฐานข้อมูลนั้น เราสามารถรู้ได้ว่าครอบครัวไหนลำบาก โดยสร้างแอปพลิเคชั่นเป๋าตังค์
นายวินท์ กล่าวต่อว่า จะแจกไม่แจกก็เรื่องหนึ่ง ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ แต่พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้มาเพื่อเป็นนั่งร้านให้ใคร ตนเข้ามาที่พรรคก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้ามาในพรรค ดังนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นการรวมกันของคนหลายกลุ่ม ที่มีประสบการณ์และความสามารถ เรื่องที่ผลักดันเผด็จการต่อไม่เป็นความจริง ทุกวันนี้เรามีแต่รวมพลังเพื่อผลักดันประเทศต่อไป และแนวทางของเราคือการนำเงินต่างชาติมาให้คนไทย
“แจกหมื่นนึงได้ครั้งเดียว แต่แจกผ่านลุงตู่พลัสได้เดือนละพัน 4 ปีได้สี่หมื่นแปด คนจนหายลำบากไหม ดังนั้น ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ดีที่สุด” นายวินท์ กล่าว
ส่วนคำถามที่สาม ซึ่งเป็นคำถามสุดท้ายถามว่า นโยบายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นในรูปแบบให้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด พรรคของท่านเห็นด้วยหรือไม่ โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ พรรคเพื่อไทยจะให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในจังหวัดนำร่องทันที ให้มีการบริหารท้องถิ่นด้วยคนจากท้องถิ่น ให้พวกเขาดูแลกันเอง การสร้างความเข้มแข็งกับสังคม คือ การให้อำนาจกับประชาชน เป็นอำนาจอธิปไตยของตนเองอย่างถูกทิศถูกทาง การปกครองท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษต้องเดินไปข้างหน้า สอดรับการกระจายอำนาจ ที่สำคัญนายกฯ ที่มาจากเลือกตั้ง จะสอดประสานกับผู้ว่าฯ ทุกพื้นที่ อีกปัญหาคือการซื้อเสียงที่ทำให้ประเทศเหลวแหลก มีบางพรรคซื้อทั้งเสียง ซื้อทั้งส.ส.
ด้านน.ต.ศิธา กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ซึ่งเราต้องทำให้คนเดียวที่ประชาชนเลือกมาสามารถควบคุมทุกหน่วยงานของจังหวัดได้ทั้งหมด ประชาชนจะต้องเลือกผู้ว่าฯ ด้วยตัวเองได้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการจัดสรรงบประมาณจังหวัด และประชาชนต้องสามารถเลือก ลด ปลด ย้าย นักการเมือง และข้าราชการในจังหวัดตัวเองได้ เราจะได้ไม่ต้องเห็นการส่งเงินให้ระดับนาย เพราะข้าราชการต้องทำงานเอาใจประชาชน
น.ต.ศิธา กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาว่าจะมีการซื้อเสียงนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีการแก้ไขต้นเหตุ อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งมีตัวแปรสามตัว คือ กระแส กระสุน และบ้านใหญ่ กระแสคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด หลายพื้นที่ใช้กระสุนกับบ้านใหญ่กันแรงมาก ซึ่งอุปสรรคการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ก็เป็นเช่นนั้น เราจึงต้องแก้ที่ระบบทำให้โปร่งใส การเลือกตั้งผู้ว่าฯ จึงจะเกิดขึ้นได้