นักฟุตบอลดาวรุ่งหลายคนที่มาจากทีมสำรอง และได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่นั้น จำเป็นต้องใช้เวลานานหลายปี แต่สำหรับ อูไน เบนเซดอร์ กองกลางวัย 21 ปี จากสโมสรแอธเลติก บิลเบา คือข้อยกเว้น
เบนเซดอร์ เป็นชาวบิลเบาโดยกำเนิด เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ กับทีมเยาวชนของซานตูซู ก่อนที่อีก 10 ปีต่อมา จะได้รับโอกาสให้ย้ายไปอยู่ในศูนย์ฝึกฟุตบอล “เลซามา” ของบิลเบา ในปี 2017
ฤดูกาล 2018/19 เบนเซดอร์ ในฐานะนักเตะของ “บิลเบา แอธเลติก” หรือทีมสำรอง ลงเล่นในเซกุนด้า ดิวิชั่น เบ (ดิวิชั่น 3) ของลีกสเปน ทั้งหมด 36 นัด ทำได้ 2 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ ถือว่าโชว์ฟอร์มได้ดีเลยทีเดียว
ต่อมาในซีซั่น 2019/20 เบนเซดอร์ ประเดิมลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของบิลเบาเป็นครั้งแรก ในเกมลาลีกา ที่พบกับโอซาซูน่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ซึ่งเจ้าตัวได้โอกาสยิงฟรีคิก แต่ยิงไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
ซีซั่น 2020/21 เบนเซดอร์ ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควร ในยุคของกุนซือกาอิซก้า การีตาโน่ แต่พอเปลี่ยนโค้ชมาเป็นมาร์เชลิโน่ เมื่อเดือนมกราคม 2021 เขาได้เป็นตัวจริงถึง 12 จาก 18 เกมที่ลงเล่นในลาลีกา
หลังจากที่มาร์เชลิโน่ เข้ามาคุมทีมบิลเบาได้เพียง 1 เดือน กุนซือวัย 56 ปี ได้มองเห็นถึงความสามารถที่เต็มเปี่ยมของเบนเซดอร์ ทางสโมสรจึงอนุมัติให้ต่อสัญญามิดฟิลด์สายเลือดบาสก์รายนี้ออกไป จนสิ้นสุดถึงปี 2025
บิลเบา ในยุคของ มาร์เชลิโน่ จะเน้นแผนการเล่น 4-4-2 เป็นหลัก เบนเซดอร์ได้รับบทบาทเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง ส่วนคู่หูของเขา จะได้โอกาสลงสนามตามความเหมาะสมในแต่ละนัด ระหว่างดานี่ การ์เซีย กับมิเกล เวสก้า
สำหรับในซีซั่นนี้ เบนเซดอร์ได้ลงเล่นกับบิลเบาครบทั้ง 11 นัด และออกสตาร์ทเป็นตัวจริงถึง 10 นัด ยืนมิดฟิลด์ตัวกลางคู่กับการ์เซีย 9 นัด และเวสก้า 1 นัด ซึ่งมีสถิติที่น่าทึ่งคือ ทุกนัดที่เบนเซดอร์ได้ลงตัวจริง ทีมไม่เคยแพ้เลย
ส่วนนัดที่แพ้ราโย บาเยกาโน่ 1 – 2 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความปราชัยเพียงนัดเดียวของบิลเบานับตั้งแต่เปิดซีซั่นเขามีชื่อเป็นตัวสำรอง ถูกเปลี่ยนตัวช่วง 20 นาทีสุดท้าย ลงมาแทนอิเคร์ มูเนียอินที่ได้รับบาดเจ็บ
ในส่วนของการรับใช้ทีมชาติ เบนเซดอร์ ได้ติดทีมชาติสเปน ชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ได้โอกาสลงสนามในฟุตบอล ยู-21 ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบคัดเลือกไปแล้ว 4 นัด และมีเสียงเรียกร้องให้เขาลงเล่นในทีมชาติชุดใหญ่ด้วย