‘ดร.เอ้’ แจงยิบที่มาทรัพย์สิน หลังถูกร้องร่ำรวยผิดปกติ ลั่นยินดีให้ตรวจสอบ

Home » ‘ดร.เอ้’ แจงยิบที่มาทรัพย์สิน หลังถูกร้องร่ำรวยผิดปกติ ลั่นยินดีให้ตรวจสอบ



“ดร.เอ้” แจงยิบที่มาทรัพย์สิน ส่วนใหญ่เป็นของเมีย ระบุรายได้ตัวเองมาจากอาชีพวิศวกร-มูลค่าหุ้น ยันยินดีให้ตรวจสอบ เชื่อมั่นในความยุติธรรม

วันที่ 4 ก.พ.65 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์” ถึงกรณีที่ถูกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องร่ำรวยผิดปกติ สมัยดำรงตำแหน่งอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)

เนื่องจากเมื่อปี 2559 นายสุชัชวีร์ มีทรัพย์สิน 44 ล้านบาทเศษ แต่เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2564 มีทรัพย์สินรวมกับภรรยาเพิ่มขึ้น 342 ล้านบาท ว่า ถ้าบอกว่าตนมีทรัพย์สินเพิ่ม 300 ล้านบาท ก็ไม่ยุติธรรมกับตน เพราะตนเพิ่งแต่งงานเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยภรรยามีทรัพย์สินมากกว่า ทั้งนี้การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2564 เป็นครั้งแรกที่ตนต้องยื่นของตัวเองพร้อมคู่สมรสที่จดทะเบียน ซึ่งเราได้แสดงให้ละเอียดที่สุด

โดยทรัพย์สินของตนมีประมาณ 141 ล้านบาท หนี้สิน 26 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการสร้างบ้าน โดยตนกู้เงิน 35 ล้านบาท ล่าสุดก็เพิ่งรีไฟแนนซ์ ขณะที่ทรัพย์สินของภรรยามีประมาณ 200 ล้านบาท หนี้สิน 8 ล้านบาท ดังนั้นทรัพย์สินที่เพิ่มจำนวนมากเป็นของภรรยา และในการแสดงทรัพย์สินแต่ละครั้งเขาระบุว่าต้องอ้างอิงกับราคาปัจจุบันเสมอ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป แม้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้นตามมูลค่าราคาปัจจุบัน

“ในการแสดงบัญชีทรัพย์สินฯ ต้องยื่นหลักฐานการเสียภาษี ซึ่งจะสอดคล้องกับทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น ตนบอกได้เลยว่าทุกอย่างพร้อมรับการตรวจสอบ เช่นเดียวกับกรณีของ สจล.นั้น สมัยที่ผมเป็นอธิการบดี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มาประเมินแล้ว และสจล.ได้คะแนนดี ถือเป็นข้อพิสูจน์ทุกอย่างว่าผมทำงานอย่างโปร่งใส” นายสุชัชวีร์ กล่าว

เมื่อถามว่าทรัพย์สินของ นายสุชัชวีร์ เมื่อปี 2563 ประมาณ 74 ล้านบาท แต่ในปี 2564 มี 141 ล้านบาท เป็นการเพิ่มจากส่วนใด นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ตนเป็นวิศวกรอาชีพ เป็นวุฒิวิศวกร คือวิศวกรขั้นสูงสุด โดยในการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ตนแสดงรายได้รวมในแต่ละปี ประมาณ 18.7 ล้านบาท ซึ่งมาจากการประกอบวิชาชีพวิศวกร และจากการได้รับเชิญไปเป็นกรรมการ รวมถึงจากเบี้ยประชุม โบนัส และการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น ขณะเดียวกันก็มีหนี้สินก้อนใหญ่ แต่เมื่อหักลบกันแล้ว จะเห็นว่าไม่แตกต่าง

“เมื่อวานผมกับภรรยานั่งคุยถึงค่ำ ภรรยาก็ให้กำลังใจ ทั้งที่จริงผมควรให้กำลังใจภรรยามากกว่า หลายๆ ครอบครัวก็บอกว่าการเข้าสู่เส้นทางการเมือง จะทำให้ครอบครัวเดือดร้อน แต่ผมโชคดีที่คุณพ่อ คุณแม่ และภรรยา เข้าใจ” นายสุชัชวีร์ กล่าว

เมื่อถามว่ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ร้องเรียนเรื่องนี้ และคิดว่าตัวเองมีโจทก์เยอะหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบข้อมูลเลย นึกไม่ออกจริงๆ การทำงานของตนถือเป้าหมายส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ก็อาจเจอแรงกดดันได้ และตนไม่คิดว่าตัวเองมีโจทก์เยอะ เพราะการที่จะเป็นนักเปลี่ยนแปลงได้ ต้องมีคนรักเราจำนวนมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ แต่ถ้ามีคนที่ไม่ชอบ เขาก็ต้องทำซ้ำและทำทุกวิถีทาง ส่วนคนที่รักเรา บางครั้งพวกเขาก็ส่งกำลังใจให้เราแบบเงียบๆ

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าผู้ที่ผู้รับผิดชอบสำนวนร้องเรียนเรื่องนี้เป็น ส.ส.ของพรรคก้าวไกลที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ด้วย นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าเป็นแบบนั้น ไม่คิดว่าเป็นเรื่องการเมือง ตนยังเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของ ส.ส. และมั่นใจเรื่องระบบความยุติธรรม ส่วนจะขอให้กมธ. เปลี่ยนตัวหรือไม่ นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ตนไม่ขอให้เปลี่ยนตัว และยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็ยินดีให้ตรวจสอบ ตนเชื่อว่าไม่น่าเป็นเรื่องการเมือง และเชื่อเรื่องความเป็นธรรม

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ