จากกรณี สาวผู้บริหารบริษัทดัง ที่ถูกจับกุมฐานเมาแล้วขับ ก่อนมีปัญหากระทบกระทั่งกับตำรวจ สน.ประเวศที่ตั้งด่าน ถึงขั้นถีบหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุด ดร.เหมียว มนธ์สินี ติดต่อมาออกรายการโหนกระแส เพื่อขอพูดในมุมของตัวเอง ให้สังคมได้รับฟังความจากฝั่งของตนบ้าง ว่าในวันเกิดเหตุ มันเกิดอะไรขึ้น
ดร.เหมียว ยืนยันว่า เธอไม่ใช่ CEO เป็นเพียงอดีตพนักงานบริษัทเอกชนบริษัทหนึ่ง มีหน้าที่ในการดูแลลูกค้ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น วันนี้ที่ตัดสินใจเปิดหน้าออกสื่อ เพราะหลายคนในสังคมไม่ได้รู้จักเราเลย และเขาตัดสินเรา เข้าใจเราอย่างผิดๆ ไปแล้ว
ปกติเราไม่ได้เป็นคนดื่มสังสรรค์เป็นกิจวัตร แต่ถ้าใครทำงานแบบเราจะรู้ว่า มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า Business Dinner หรือการนัดทานอาหารกับลูกค้า กับพาร์ทเนอร์ เป็นประจำ วันที่เกิดเหตุค่อนข้างลากดึกกว่าปกติ ขับรถกลับบ้านที่ตรงจุดเกิดเหตุ เป่าแอลกอฮอล์ขึ้น 104 มก.เปอร์เซ็นต์ ยินดีเป่าทันที ไม่ได้บิดพลิ้วใดๆ เป่ารอบแรกน่าจะได้ประมาณ 108 มก./เปอร์เซ็นต์ พอลงมาจากรถเป่าอีกรอบ ก็ได้ 104
พอเห็นว่าเป่าขึ้นแบบนี้ก็ผิดแน่นอน เราถามว่าต้องทำยังไงต่อ ตำรวจก็ชี้นิ้วไปที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากด่าน มี 2 คนนั่งอยู่กับมอเตอร์ไซค์ ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ เราก็กลัว ไม่รู้ว่าจะต้องยังไง เขาให้เราไป เราก็ไป ไม่รู้ว่า 2 คนนี้เป็นตำรวจหรือไม่ คิดว่าเขาจะพาเราไปไหน เราก็ถามก็เขาว่า “จะพาพี่ไปไหน” เรางุนงงไปหมด ผู้ชาย 2 คนนั้นก็งง แล้วถามกลับว่า “แล้วพี่จะไปไหนครับ” เราก็ยิ่งไม่เข้าใจ จนต้องเดินกลับไปถามตำรวจที่ให้เราเป่าอีกรอบ เขาก็เลยเชิญเราไปที่โรงพักประเวศ
ตอนนั้นรู้สึกไม่เข้าใจ ว่าชี้นิ้วให้เราไปหาสองคนนั้นทำไม แล้วมีป้ายว่าห้ามถ่ายคลิป ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ พอเราเดินกลับมา ท่าทีมันก็เปลี่ยนเป็นว่า ให้เราไปโรงพักสถานเดียว จนเราถามเค้าย้ำๆ ว่า แล้วเมื่อกี๊ให้เราเดินไปตรงนั้นทำไม เรารู้ว่ามันมีอะไรแปลกๆ ในด่านนี้เต็มไปหมด ก็เลยตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิป เพื่อจะดูว่าตำรวจจะทำอย่างไร เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องห้ามประชาชนถ่ายคลิป
จากนั้นก็เป็นเหตุการณ์แบบที่มีคลิปปรากฏออกไปตามสื่อ แต่ยืนยันว่าก่อนจะมีเหตุการณ์นั้น ตนยืนขอคำตอบจากตำรวจอยู่นานมาก ว่าตอนแรกพยายามจะทำอะไร ให้ตนเดินไปตรงนั้นทำไม ตนจะไม่ยอมไปโรงพัก จนกว่าเขาจะยอมอธิบายให้เราเข้าใจว่า ที่เขาชี้ให้เราเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ เพื่ออะไร ให้ไปทำไม ถ้าไม่ได้คำตอบก็จะไม่ไปโรงพัก
ยอมรับว่าการดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป อาจจะทำให้เราสมองช้านิดหน่อย แต่ไม่ได้เมา และมีสติอยู่ตลอด พอตำรวจยืนยันให้เราไปโรงพัก เรายืนยันว่าจะไม่ไป แต่ไม่ได้ขัดขืน และที่บอกว่าไปถีบหน้าตำรวจ มันก็มีที่มาที่ไป
เพราะตอนที่ตนยืนกรานว่าจะไม่ไป มีตำรวจนายหนึ่งมาล็อกแขนเราแรงมาก จนเราเจ็บ เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ไหม ไม่พอใจที่มีคนมาแตะตัวเรา ไม่โอเคกับตำรวจชุดนี้เลยสักนาย บางคนก็ผลักตัวเรา พยายามดันตัวเราขึ้นไปบนรถตำรวจ นายตำรวจคู่กรณีพยายามรวบขาเราขึ้นไปบนรถ ตอนนั้นเราก็คิดแค่ว่าต้องป้องกันตัวเอง ต้องดิ้นให้หลุด แล้วเรามีปัญหาเรื่องการหายใจมาตั้งแต่ตอนที่หายป่วยโควิด ทำให้ตอนนั้นเราเริ่มหายใจไม่ออก หลายๆ อย่างประกอบกัน ทำให้เราตัดสินใจสู้ เราผู้หญิงตัวคนเดียว จึงดิ้นๆๆ ให้หลุด ก็ยอมรับว่าถีบไปโดนเขา แต่ไม่ได้ตั้งใจถีบ มันเป็นเพราะพยายามจะดิ้นให้หลุดเท่านั้น แล้วเราก็รู้สึกเหมือนมีของแข็งกระแทกที่ใบหน้าเหมือนกัน
ขณะที่ นายเฉลิมศักดิ์ กาญจนศิราธิป ทนายความของดร.เหมียว ยอมรับว่า เหตุการณ์ตามที่ปรากฏในคลิป ดร.เหมียวต้องทำตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ คือต้องยอมไปโรงพัก ไม่มีข้อโต้แย้ง เพียงแต่ควรจะมีวิธีที่นุ่มนวลกว่านี้ เป็นไปได้ไหมว่าด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ ควรจะมีตำรวจหญิง เพื่อคอยให้บริการประชาชนที่เป็นผู้หญิง อาจจะทำให้ทุกอย่างละมุนละม่อมกว่านี้ได้
ขณะที่ พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รอง ผกก.5 บก.จร. นายตำรวจคู่กรณี เล่าเหตุการณ์ว่า การควบคุมตัวดร.เหมียวเป็นการปฏิบัติตามยุทธวิธี แต่เขายื้อไว้จนตัวเข้าไปในรถไม่สุด เราก็บอกว่าให้เขาเอาขาขึ้นมาบนรถ ไม่อย่างนั้นจะปิดประตูไม่ได้ จังหวะที่ก้มมองประตู เท้าเขาก็ลอยมาเข้าที่หน้าทันที แล้วคำที่ติดใจที่สุด คือตอนที่ไปโรงพัก เขาด่าตำรวจว่า “ชั้นต่ำ”
ดร.เหมียวบอกว่า สิ่งที่ตำรวจพูดให้สัมภาษณ์มันไม่ได้ครบถ้วน ตนมีหลักฐานที่เปิดเผยไม่ได้ ว่าบนรถ ก็มีการโต้เถียง มีการปะคะคารม ตำรวจเองก็ยอมรับว่าตอบโต้เราอย่างไรเหมือนกัน แต่หลักฐานเราขอไปเปิดในชั้นศาล ส่วนคลิปที่มีการเปิดเผยออกมาจากทางตำรวจ มันมีแต่เหตุการณ์บางส่วน ที่ทำให้เขาดูได้เปรียบเท่านั้น พอจบจากเหตุการณ์ในคืนวันอังคาร ตนได้ประกันตัว แล้วเราก็อยากจะรอไปขึ้นศาลทีเดียว แต่ปรากฏว่าวันต่อมา วันพุธมีตำรวจติดต่อมา บอกว่าผู้ใหญ่ในโรงพักอยากคุยด้วย ให้เข้าไปที่โรงพัก เขาโทรมาตาม 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม เราก็บอกว่าเราติดงาน ไปไม่ได้แล้ว
จากเดิมที่เราต้องไปขึ้นศาลวันพฤหัสบดี ตอนเช้า แต่ทางพนักงานสอบสวนไปขอเลื่อนนัดศาล เพื่อให้เราเข้าไปเจรจากับนายตำรวจยศใหญ่ในโรงพักหลายนาย ในตอนเช้าแทน ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการพูดคุย ถามเรื่องผู้ชาย 2 คนที่นั่งอยู่ที่มอเตอร์ไซค์ ถามว่าเขาเป็นใคร แต่งตัวแบบไหน คุยอะไรกันบ้าง บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องนี้
นอกจากนั้น ตำรวจผู้ใหญ่บอกให้เราไปเคลียร์กับ รอง ผกก. ที่เป็นคู่กรณี เพราะดูแล้วไม่ได้ทำร้ายร่างกายกันเป็นเรื่องใหญ่อะไร อยากให้ขอโทษขอโพยกันซะ ซึ่งทางดร.เหมียวก็รับปาก แต่ปรากฏว่าพอออกจากห้องมา ไม่นานก็มีข่าวของตัวเองลงตามสื่อ ข่าวออก 2 วันหลังเกิดเหตุ เนื้อข่าวเป็นรายงานการจับกุม ทำให้เราเชื่อมโยงได้ว่าเป็นไปได้ไหมว่าตำรวจเป็นผู้ให้ข่าว มีการระบุเหตุการร์คดีเก่าปี 65 และมีการระบุบริษัทที่เราทำงาน
หลังจากนั้นเราก็โทรคุยกับ รอง ผกก. คู่กรณี ขอโทษขอโพยกันเรียบร้อย ในโทรศัพท์ก็คุยกันเข้าใจ เราถามว่า ถ้ามีสื่อมาถามว่าเราขอโทษกันแล้ว รอง ผกก.บอกว่า ไม่ได้ บอกไม่ได้ว่าเราคุยกันแล้ว แต่ถ้าจะชี้แจงเรื่องคดีเก่าปี 65 พูดได้
ต่อมาหลังจากวางสาย ก็มีคลิปหลุดออกมา เป็นคลิปจากกล้องหน้าอกของจราจรกลาง เราก็ถามว่า ปล่อยคลิปทำไม เขาบอกว่า เขาไม่ได้ปล่อย เขาส่งคลิปให้พนักงานสอบสวนของโรงพัก ให้เราไปถามทางนั้นเอง เพราะเขาคงไม่ปล่อย เขาไม่ชอบออกสื่อ
แล้ววันเสาร์ที่เราเข้าไปให้ปากคำที่ สน.ประเวศ ปรากฏว่า รองผกก.คู่กรณี กลับไม่มาในการสอบสวนด้วย แถมเรายังถูกแจ้งข้อหาเพิ่ม ข้อหา ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน แถมยังมีกระแสข่าวว่า จะถูกรื้อคดีปี 65 ยิ่งทำให้เรากัลวลว่า นี่เรากำลังสู้กับอะไรอยู่
ส่วนในเรื่องคดีปี 65 ดร.เหมียวชี้แจงว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด ร้านรวงมันปิดอยู่แล้ว เรามีสเปรย์แอลกอฮอล์ พกติดตัวเอาไวฉีดมือ ฉีดพื้นผิวต่างๆ เพื่อฆ่าเชื้อ ปรากฏว่าไปเจอด่านเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แล้วเราเป่า มันขึ้นมาประมาณ 69 มก.เปอร์เซ็นต์ เราไม่ได้ดื่มมา แต่เป่าแล้วมันเกิน เราก็คิดว่าเป็นเพราะสเปรย์แอลกอฮอล์ที่เราฉีดหรือเปล่า เขาให้เราไป สน. เราก็ไป
เขาส่งหลักฐานไปตรวจสอบที่กระทรวงสาธารณสุข เรารู้ว่ามีผลตอบกลับมาแล้ว แต่เราไม่ได้เห็นผล ตำรวจโทรมาบอกว่า ไม่ต้องเข้ามาแล้วนะ ทุกอย่างโอเคแล้ว มันก็แค่นั้น เพราะเราไม่ได้ดื่มจริงๆ
ขณะที่ นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ โฟนอินเข้ามาบอกว่า เราไม่ได้มีเจตนาร้ายกับ ดร.เหมียว แต่เรามีเจตนารมณ์เดียวคือ ป้องกันไม่ให้คนเมามาขับรถ อย่างเคสล่าสุดก็มีเคสเมาแล้วขับชนตำรวจตาย คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าเมานิดหน่อยแล้วไปขับไม่เป็นไรหรอก
ข้อมูลคดีเก่าของ ดร.เหมียว เมื่อปี 65 ที่ทางมูลนิธิเอามาลง เอามาจากสื่อทุกฉบับ กรณีของคดีที่ถูกตัดสินให้รอลงอาญา 2 ปี ซึ่งเช็กไปทาง สน.ประเวศแล้ว เขาก็บอกว่ามีคดีอยู่จริง อยู่ระหว่างการดำเนินคดีจริง เราก็เอามาลง เพื่อชี้ให้เห็นว่า เมื่อเขามากระทำผิดซ้ำ ก็ต้องได้รับโทษหนักกว่าเดิม
แต่ทางดร.เหมียวบอกว่า เมื่อวานนี้ได้ส่งโนติสไปทางมูลนิธิเมาไม่ขับแล้ว ให้ลบ ให้แก้ไข ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เพราะเราไม่อยากจะฟ้องร้องใคร แต่ถ้าคุณหมอแท้จริง ยังยืนยันข้อมูลอันเป็นเท็จแบบนี้ ตนก็ต้องเตือนว่า ตนอาจต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะที่ พ.ต.อ.เอกสุรพงษ์ พุฒขาว ผกก.สน.ประเวศ ระบุว่า คดีปี 65 ยังไม่ได้ส่งฟ้อง โดยในครั้งนั้น ดร.เหมียวปฏิเสธผลตรวจ ทำให้ไม่สามารถส่งฟ้องได้ในทันที โดยอ้างว่า ปริมาณแอลกอฮอล์ ที่เป่าขึ้นมาจากการใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ป้องกันโควิด-19 จึงต้องส่งแอลกอฮอล์ที่อ้างไปทำการตรวจละเอียด ซึ่งผลตรวจส่งกลับมาในช่วงต้นปี 2566 และพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ดำเนินการรวบรวมหลักฐานและสรุปสำนวนคดีไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีการส่งฟ้อง เพราะตำรวจเจ้าของสำนวนถูกย้ายไปประจำตำแหน่งที่อื่น แต่ล่าสุดสั่งการให้หัวหน้างานสอบสวนคนปัจจุบัน ดำเนินการนำสำนวนดังกล่าวมาเตรียมเรียกอดีตผู้บริหารรายนี้ มาพบโดยมีการนัดหมายกันในวันที่ 10 พ.ค. ท้ายที่สุด นพ.แท้จริง ก็ยอมรับว่า ข้อมูลที่ลงไปว่ามีการตัดสินโทษ รอลงอาญา ก็เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่ได้มีการส่งฟ้องศาล ต้องกราบขออภัย ดร.เหมียวที่ได้ผิดพลาดไป
สุดท้ายดร.เหมียวบอกว่า สำหรับคนที่มีกล้องวงจรปิด มีคลิปหลักฐาน เหตุการณ์ตอนที่ตนเดินไปหาผู้ชาย 2 คนที่นั่งตรงมอเตอร์ไซค์ จังหวะที่ตนคาใจ ถ้ามีก็ช่วยส่งมาให้ตนด้วย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตนผิดก็ยอมรับ และตอนนี้ก็ได้ว่าจ้างคนขับรถแล้ว ไม่ได้ดื่มอีกเลยหลังจากเกิดเรื่อง แต่ไม่ว่าเราจะทำแบบไหน จะพูดอะไร สังคมก็คงมองเราไม่ดีเหมือนเดิม แต่สุดท้าย เรารู้สึกว่า ไหนๆ จะพูดหรือไม่พูด เราก็โดนอยู่ดี เรารู้สึกว่าเรากำลังโดนเล่น โดนยัด โดนอะไรต่างๆ นานา จากใครสักคนอยู่ เราเองก็จะไม่ยอมให้เขาลอยตัว ยืนอยู่ได้โดยที่เหยียบใครอีกคนอยู่ เราก็อยากจะเผยธาตุแท้เขาออกมาเหมือนกัน