วันที่ 8 ต.ค. 2567 ได้รับรายงานจากสื่อต่างประเทศ BBC รายงานว่า มีผู้ชายท่านหนึ่ง ที่มีแผลเป็นบนใบหน้าถูกเชิญให้ออกจากร้านอาหารด้วยเหตุผลที่ว่า “เขาทำให้ลูกค้าคนอื่นในร้านกลัว” ทำให้ไม่นานมานี้มีข่าวที่กำลังดังไปทั่วโซเชียล จนเกิดกระอสวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นวงกว้าง
โดยชายท่านนี้ ชื่อว่า “Oliver Bromley” หรือ “บรอมลีย์” เป็นชายชาวอังกฤษวัย 42 ปี เกิดมาพร้อมกับโรคนิวโรไฟโบรมาโตซิส ชนิดที่ 1 หรือที่ไทยเราคุ้นเคยกันในชื่อ “โรคท้าวแสนปม”
เขาเป็นคนไข้ประจำของโรงพยาบาล King’s College Hospital ที่อยู่ในเมืองแคมเบอร์เวลล์ ทางตอนใต้ของลอนดอน และหลังจากที่ทำการรักษากับ คุณหมอเสร็จ Oliver ก็ตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในอยู่ในเมืองนั้นแทนที่จะกินอาหารที่ขายในโรงพยาบาลเหมือนทุกครั้ง
บรอมลีย์ Oliver Bromley ได้พูดคุยกับ BBC ว่า ผมเดินเข้าไปแล้วสังเกตเห็นป้ายรับเฉพาะเงินสด ผมจึงเดินออกไปข้างนอกแล้วถอนเงินสดออกมา พอผมกลับมาที่ร้านและกำลังจะสั่งอาหาร พวกเขากลับบอกกับผมว่า ‘ได้โปรดออกไปด้วยครับ เพราะผม ทำให้ลูกค้าคนอื่นกลัว และมีลูกค้าในร้านร้องเรียนเกี่ยวกับผม’
- ขึ้นน้ำแทบไม่ทัน! ชายนั่งอาบน้ำ ถูสบู่ กลางธารน้ำตก ชาวเน็ตทัวร์ลงยับ
- ผัวรับไม่ได้! ปรึกษาทนายดัง อยากฟ้องหย่าเมีย เพราะโดนตดใส่หน้า
- เช็คเลย! 7 จังหวัด พื้นที่เสี่ยง เฝ้าระวังน้ำท่วม เตือน ปชช. ขนของขึ้นที่สูง
บรอมลีย์ Oliver Bromley สันนิษฐานว่า จริง ๆ แล้วระยะเวลาที่เขาเดินเข้ามาในร้านและออกไปกดเงินคงไม่นานพอที่จะมีลูกค้าคนอื่นร้องเรียนกับร้านอาหาร คิดว่าคงเป็นพนักงานเองนี่แหละที่ไม่โอเคกับรูปลักษณ์ของเขาจึงทำแบบนั้น ซึ่งเขาก็เลือกเดินออกร้านไปโดยไม่เถียงอะไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น Oliver Bromley ได้ทำการร้องเรียนไปยังร้านอาหารดังกล่าว แต่เขาไม่ได้รับการตอบกลับใด ๆ เขาจึงตัดสินใจไปแจ้งความ เพราะนี่ถือเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชังในต่างประเทศเลยค่ะ ซึ่งทางตำรวจดูไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคดีนี้เท่าไร เรื่องราวมันเลยเป็นข่าวอย่างที่เราเห็นกันนี่แหละ
“ถึงตนจะชินกับการถูกผู้คนจ้องมอง แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกแย่ไม่น้อยเลยล่ะ” Oliver Bromley กล่าว
หลังจากที่เรื่องราวของ บรอมลีย์ Oliver Bromley ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทางองค์กรการกุศล Nerve Tumours UK ได้ทำการหารือร่วมกับสมาคมการค้า UK Hospitality เพื่อตั้งใจสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เพราะพวกเขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับใครอีก
ที่มา : BBC