หากคุณเป็นคอภาพยนตร์เกาหลี ชื่อของ ซง คังโฮ คงเป็นที่คุ้นหูอยู่บ้าง เพราะเขาได้รับฉายาว่าเป็น “นักแสดงแห่งชาติ” กับความสามารถในการแสดงที่ไม่ได้หยุดแค่ในประเทศ แต่ไปไกลถึงฮอลลีวูด กับเรื่อง Snowpiercer และล่าสุดกับ Parasite
ในขณะที่ ซง คังโฮ เป็นนักแสดงสายรางวัลที่ประสบความสำเร็จมากมาย ลูกชายของเขา อย่าง ซง จุนพยอง กับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไป เขาปฏิเสธที่จะเดินตามรอยผู้เป็นบิดา และเลือกจะล่าความฝันของตัวเอง คือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
แม้ว่าสุดท้าย เส้นทางของ ซง จุนพยอง จะไม่ประสบความสำเร็จ และแขวนสตั๊ดตั้งแต่อายุ 23 ปี แต่เขาได้เดินตามเส้นทางของตัวเอง ตามที่ใจต้องการ โดยไม่ปล่อยให้ใครมามีอิทธิพล แม้กระทั่งพ่อของเขาที่เป็นนักแสดงอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้
ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูก
ชื่อของ ซง จุนพยอง เป็นที่รู้จักตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่เพราะเขามีทักษะฟุตบอลชั้นเลิศ แต่เพราะว่าพ่อของเขาคือนักแสดงมือทองของเกาหลีใต้ อย่าง ซง คังโฮ
ซง คังโฮ เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ในฐานะนักแสดง ตั้งแต่ปี 2000 กับภาพยนตร์เรื่อง The Foul King ก่อนจะโด่งดังสุดขีดกับหนังเรื่อง Sympathy for Mr. Vengeance และ Memories of Murder ที่ออกฉายในปี 2002 และ 2003 ตามลำดับ
Photo : www.filmlinc.org
โดยเฉพาะกับ Memories of Murder ซง คังโฮ คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศรางวัลด้านภาพยนตร์ถึง 6 งาน ซึ่งส่งให้เขากลายเป็นนักแสดงมือทองของเกาหลีใต้ในทันที และชีวิตที่โด่งดังสุดขีดของคังโฮ ส่งผลอิทธิพลถึงคนรอบตัว หนึ่งในนั้นคือ ซง จุนพยอง ลูกชายวัยเด็กของคังโฮ
คังโฮมีเป้าหมายที่แน่วแน่ ว่าต้องการให้ลูกชายเดินตามรอยของเขา ก้าวเป็นดารามากฝีมือที่ได้รับการยอมรับจากคนเกาหลีใต้ บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาฉายแววเด่นมาตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่เรื่องยากที่ ซง จุนพยอง จะเข้าสู่เส้นทางบันเทิง และประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จุนพยองสนใจ กลับไม่ใช่เรื่องของภาพยนตร์ หรือศาสตร์การแสดง แต่เป็นด้านกีฬาที่เขาตกหลุมรัก โดยกอล์ฟ และฟุตบอล คือสองรูปแบบเกมการแข่งขัน ที่จุนพยองคลั่งไคล้ โดยเฉพาะกับเกมลูกหนังที่ตัวเขาดูจะสนใจมากเป็นพิเศษ
จุนพยอง คือแฟนตัวยงของ ลิเวอร์พูล เอฟซี สโมสรดังของประเทศอังกฤษ แต่มีไอดอลในดวงใจเป็น เดวิด เบ็คแฮม ตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่ปรับของทัพหงส์แดง … แต่ไม่ว่าจะชอบใคร ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะทั้งลิเวอร์พูล และ เดวิด เบ็คแฮม คือแรงบันดาลใจสำคัญ ที่ทำให้ ซง จุนพยอง มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
Photo : blog.naver.com
สำหรับสังคมเกาหลีใต้ เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ จะวางอนาคตให้กับลูกของตัวเอง ตั้งแต่พวกเขาอายุยังน้อย … ซง คังโฮ ก็เช่นกัน เขาเตรียมวางแผนให้ลูกชายเดินสายนักแสดงอย่างเต็มตัว แต่กลับต้องพบกับความจริงว่า สิ่งเดียวที่ซงจุนพยองอยากเป็น คือนักฟุตบอลอาชีพ
Photo : kmib.co.kr
“พ่อถามผมว่า ‘อยากไปเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ไหม ?’ แต่ผมบอกว่า ไม่ ผมอยากเล่นฟุตบอล”
“ผมรู้ดีว่า พ่อจะไม่สนับสนุนให้ผมทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันแน่นอน ซึ่งผมแสดงให้ท่านเห็นว่า ผมจริงจังกับฟุตบอลมากแค่ไหน ท่านจึงสนับสนุนผมเต็มที่ กับเส้นทางนักฟุตบอล” จุนพยอง กล่าว
เดินหน้าล่าฝัน
หลังจากได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากบิดา ซง จุนพยอง เริ่มเดินทางกับการเป็นนักฟุตบอลอย่างเต็มที่ ด้วยการเข้าโรงเรียนแมดาน ในเมืองซูวอน ซึ่งเป็นโรงเรียนอคาเดมีของสโมสรชั้นนำในเกาหลีใต้ อย่าง ซูวอน ซัมซุง บลูวิงส์
Photo : www.instiz.net
ทันทีที่เข้าโรงเรียน จุนพยองกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมอาคาเดมีของ ซูวอน บลูวิงส์ ในทันที กับการเล่นในตำแหน่งปีกขวา โดยใช้พละกำลัง และความเร็ว อันเป็นจุดเด่นของเขาในการสร้างผลงาน
อย่างไรก็ตาม ชีวิตนักฟุตบอลของจุนพยอง ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องแย่งตำแหน่งกับ คิม คังกุก เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งในอนาคตจะก้าวไปเป็นนักเตะเยาวชนทีมชาติเกาหลีใต้
คังกุกได้แสดงให้เห็นว่า ตัวเขาแข็งแกร่งกว่าจุนพยอง กับการเล่นในตำแหน่งปีก จนสามารถเอาชนะขึ้นมาเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งได้อย่างเต็มภาคภูมิ เบียดแข้งลูกชายนักแสดงดังลงไปเป็นแค่ตัวสำรอง
อย่างไรก็ตาม ความขยันในการไล่บอล และความสามารถในการเล่นเกมรับของ ซง จุนพยอง ไม่รอดพ้นสายตาทีมงานในชุดเยาวชนของบลูวิงส์ จึงตัดสินใจโยกจุนพยอง ถอยลงมาเล่นในตำแหน่งแบ็คขวา
Photo : www.instiz.net
จุนพยอง แจ้งเกิดอย่างรวดเร็วกับตำแหน่งใหม่ เขาพบกับข้อดีสำคัญของตัวเอง คือการเล่นเกมรับไม่ใช่เกมรุก ชื่อของแข้งรายนี้ได้รับการจดจำในทันที ด้วยสไตล์การเข้าปะทะที่หนักหน่วงเหนือกว่าเพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงมีความสามารถในการอ่านเกมรุกของทีมคู่ต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม
ด้วยทักษะเกมรับที่ดุดัน และโดดเด่น บวกกับการเติมเกมรุกในฐานะแบ็คด้วยความเร็วสูง อีกทั้งความขยัน ส่งผลให้ชื่อของ ซง จุนพยอง ปรากฎตัวอยู่ในลิสต์นักเตะเยาวชนทีมชาติ และเคยถูกเรียกไปทดสอบฝีเท้ากับทีมเสือร้ายแห่งเอเชียชุดเล็ก
แม้ว่าเขาจะไม่เคยลงสนาม ให้ทีมชาติเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ แต่ตลอด 6 ปี ในระดับชั้นมัธยม เขาคือตัวหลักในทีมชุดเยาวชนของ ซูวอน บลูวิงส์ ในทุกระดับชั้น
อย่างไรก็ตาม ระบบการคัดเลือกนักเตะของเคลีก จะไม่ใช้วิธีเซ็นสัญญาเหมือนโลกฟุตบอลปกติ แต่จะใช้การดราฟต์ เหมือนกรณีของลีกกีฬาในประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการนำชื่อนักเตะเยาวชนที่อายุเกิน 18 ปี มาให้สโมสรในลีกสูงสุดของเกาหลีใต้ ได้มีสิทธิ์เลือกตัวมาเข้าทีม
ซง จุนพยอง ในช่วงเรียนจบมัธยม เขากลับได้รับข้อเสนอเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแบบฟรี ๆ จากมหาวิทยาลัยยอนเซ มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลีใต้ และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
Photo : www.edaily.co.kr
มหาวิทยาลัยยอนเซ ต้องการได้ตัว ซง จุนพยอง เพื่อไปเล่นฟุตบอลให้กับทีมลุยลีกในระดับมหาวิทยาลัย ทำให้จุนพยองต้องเลือก ระหว่างการไปเสี่ยงดราฟต์ตัวในลีกอาชีพ หรือตอบรับทางที่มั่นคงกับฟุตบอลมหาวิทยาลัย
สุดท้าย จุนพยอง เลือกที่จะรับข้อเสนอของมหาวิทยาลัยยอนเซ แม้ว่าจะไม่ได้ไปร่วมเข้าลีกอาชีพ แต่ตัวเขามีความคิดว่า เลือกการศึกษาเอาไว้ก่อน คือสิ่งสำคัญที่สุด
ไปให้สุดแล้วจะไม่เสียใจ
1 ปีผ่านไป หลังจากเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ซง จุนพยอง ตัดสินใจดร็อปชีวิตการเรียนของเขาเอาไว้ เพราะเจ้าตัวรู้สึกอย่างแน่ชัดว่า ความฝันเดียวของเขา คือการเป็นนักฟุตบอล และจะขอล่ามันให้ถึงที่สุด
จุนพยอง ส่งชื่อตัวเอง เข้าสู่การดราฟต์ในปี 2017 แน่นอนว่าการดราฟต์มีความเสี่ยง เพราะหากเขาไม่ถูกเลือก ก็อาจจะไม่มีสโมสรฟุตบอลอาชีพให้สังกัด และเส้นทางของเขา อาจจะจบลงตรงนี้
โชคดีที่จุนพยอง ไม่ได้โชคร้ายถึงขั้นไม่มีทีมเลือก เพราะทีมที่ดราฟต์ตัวเขาไป คือ ซูวอน ซัมซุง บลูวิงส์ ทีมที่เขาเคยมีความเกี่ยวพันในฐานะนักเตะอคาเดมี
Photo : www.sports-g.com | K League
อย่างไรก็ตาม จุนพยองไม่ได้เริ่มต้นกับทีมชุดใหญ่ แต่เขาถูกส่งไปเล่นให้ทีมบลูวิงส์ ชุดสำรอง เพื่อพิสูจน์ความสามารถ ว่าจะดีพอกับการเล่นในลีกสูงสุดของเกาหลีใต้หรือไม่
จุนพยอง ไม่ทำให้ทีมต้องผิดหวัง เขาสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมในทีมสำรอง และถูกเรียกตัวขึ้นสู่ชุดใหญ่ ในปี 2018 ได้รับมอบหมายเสื้อหมายเลข 2 เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่า เขาคือแบ็คขวาตัวจริงในฤดูกาลถัดไปของบลูวิงส์ แฟนบอลของทีมล้วนคาดหวังถึงผลงานอันยอดเยี่ยม จาก ซง จุนพยอง
Photo : blog.naver.com
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวกับพลิกไปอีกด้าน จุนพยองไม่ได้ลงเล่นแม้แต่เกมเดียวในปี 2018 เพราะได้รับบาดเจ็บตลอดทั้งฤดูกาล และส่งผลร้ายยาวมาจนถึงปี 2019 ไม่มีทีท่าว่าจะหายกลับมาลงสนามได้ในเร็ววัน
อาการบาดเจ็บที่มาจากสไตล์การเล่น ที่เน้นใช้พละกำลังตั้งแต่เป็นแข้งเยาวชน กลายเป็นอาวุธที่สร้างความเสียหายทั้งร่างกาย และจิตใจ ให้กับ ซง จุนพยอง จนสุดท้ายตัวเขาตัดสินใจประกาศเลิกเล่นในปี 2019 ด้วยวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น
Photo : www.nemopan.com
จุนพยอง ให้เหตุผลกับการเลิกหวดลูกหนังว่า เขาเบื่อกับการจะต้องทนกับอาการบาดเจ็บที่ไม่รู้จะสิ้นสุดตอนไหน เพราะแท้จริงแล้ว นับตั้งแต่จบจากชั้นมัธยม จุนพยองเจออาการบาดเจ็บเล่นงานมาตลอด แต่ด้วยทักษะในการเล่นฟุตบอล ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อมั่นว่า สักวันชายคนนี้จะแจ้งเกิดในฐานะนักเตะระดับประเทศ
แน่นอนว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ สร้างความผิดหวังให้แฟนฟุตบอลไม่น้อย ที่ต้องการเห็นเขาลงสนามในฟุตบอลเคลีก ว่าลูกชายของนักแสดงดังเบอร์ 1 ของประเทศ จะเล่นฟุตบอลได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน
“ผมเศร้านะ ผมมีความฝันว่า อยากจะได้ถ้วยแชมป์ ให้เท่ากับรางวัลที่พ่อของผมเคยได้จากการแสดง” จุน พยอง กล่าว
จุนพยอง ทิ้งเรื่องราวการเป็นนักฟุตบอลไว้เบื้องหลัง นับตั้งแต่แขวนสตั๊ด เขาใช้เวลาทำหลายสิ่งที่อยากจะทำ ทั้งการท่องเที่ยว, ตีกอล์ฟ, ออกกำลังกายในรูปแบบอื่น และปัจจุบันเจ้าตัวกำลังเข้ากรม รับใช้ชาติในฐานะทหารเกณฑ์ เหมือนอย่างผู้ชายเกาหลีทุกคน
Photo : www.instagram.com/2umpaeng
Photo : www.sportsseoul.com
ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลของ ซง จุนพยอง ไม่ได้ประสบความสำเร็จ เหมือนเส้นทางของคุณพ่อในฐานะนักแสดง แต่อย่างน้อยการได้ทำตามฝัน ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุด แค่นี้ถือว่ามีความหมายมากแล้วสำหรับตัวเขา เพราะชีวิตของใครหลายคน ความฝันเป็นได้แค่ความฝัน และไม่เคยมีโอกาสได้ลงมือทำ