ช้างศึก ผงาดแชมป์ซูซูกิ คัพ สมัย 6 แบบไร้พ่าย รับอัดฉีดกว่า46ล้านบาท

Home » ช้างศึก ผงาดแชมป์ซูซูกิ คัพ สมัย 6 แบบไร้พ่าย รับอัดฉีดกว่า46ล้านบาท


ช้างศึก ผงาดแชมป์ซูซูกิ คัพ สมัย 6 แบบไร้พ่าย รับอัดฉีดกว่า46ล้านบาท

ช้างศึก ทีมชาติไทย แม้ว่าจะทำได้เพียงแค่เสมอกับอินโดนีเซีย ในนัดสอง 2-2 แต่รวมผลสองนัดถล่ม 6-2 คว้าแชมป์อาเซียน สมัยที่ 6 รับเงินอัดฉีดอย่างน้อย 46 ล้าน

ช้างศึก ทีมชาติไทย แชมป์ 5 สมัย ลงสนามรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน (เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020) นัดที่สอง เมื่อ 1 ม.ค. ที่สนามกีฬาแห่งชาติ ประเทศสิงคโปร์ พบกับ “อิเหนา”อินโดนีเซีย ซึ่งเข้าชิงชนะเลิศมาแล้ว 5 ครั้งไม่เคยคว้าแชมป์ โดยการพบกันในเกมนัดแรกเมื่อ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทีมชาติไทยเป็นฝ่ายถล่มเอาชนะได้ก่อน 4-0

เริ่มเกมอินโดนีเซียไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปิดเกมรุกเข้าใส่เพื่อทำประตูแรกของเกมให้ได้เร็วที่สุดเพื่อโอกาสในการกลับมาลุ้นแชมป์ ขณะที่ทีมชาติไทยยังเล่นตามสไตล์เดิมจากเกมนัดแรกคือการสร้างเกมรุกเข้าใส่ เข้าสู่นาทีที่ 7 อินโดนีเซียได้โอกาสลุ้นจากการโต้กลับเร็ว ก่อนที่ ริกกี คัมบูยา จะยิงไกลบอลแม้ว่าจะพุ่งตรงตัวศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ผู้รักษาประตูไทย แต่กลับรับบอลปลิ้นเข้าประตูพาอินโดนีเซีย ขึ้นนำก่อน 1-0

  • บิ๊กเอ ยืนยันพร้อมส่ง ‘เทนนิส’ บู๊ศึกใหญ่เพื่อรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่งโลก

หลังจากเสียประตูทีมชาติไทยยังเป็นเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง และครองบอลได้มากกว่า มีโอกาสจะได้ประตูตีเสมอหลายครั้ง จากการยิงในกรอบเขตโทษของธีรศิลป์ แดงดา ติดเซฟผู้รักษาประตูอินโดนีเซีย และสุภโชค สารชาติ ยิงในกรอบบอลพุ่งชนเสากระดอนออกหลัง รวมถึงการยิงไกลของ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ติดเซฟผู้รักษาประตูไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นสกอร์แรกของทีมไทยในเกมนี้ได้

หลังจากผ่าน 30 นาทีแรกของเกมทีมชาติไทยเริ่มครองบอลไม่ต่อเนื่อง เพราะอินโดนีเซียเล่นบีบกดดันเร็ว และพยายามตัดฟาวล์เพื่อไม่ให้ทีมชาติไทยสร้างเกมรุกได้ถนัด ทำให้เกมจนเข้าสู่ 5 นาทีสุดท้ายทีมชาติไทยยังไม่สามารถสร้างโอกาสตีเสมอแบบจะแจ้งได้เท่าที่ควร

เข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรกไทยหวิดจะได้ประตูตีเสมอจากการ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม แบ๊กขวาเติมขึ้นไปเปิดเข้ากลางประตู ธีรศิลป์ แดงดา ล้มตัวตวัดบอลโดนไม่ดีข้ามคานออกหลัง ทำให้จบ 45 นาทีแรก ทีมชาติไทย ตามหลังอินโดนีเซีย อยู่ 0-1 แต่สกอร์รวม 2 นัด ยังเป็นฝ่ายนำอยู่ 4-1

ครึ่งหลังไทยปรับทัพทันทีด้วยการส่ง พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ลงเล่นแทน ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ในตำแหน่งกองกลาง เช่นเดียวกับวีระเทพ ป้อมพันธุ์ ลงเล่นแทนปวีร์ ตัณฑะเตมีย์ ในตำแหน่งกองหลัง รวมถึงส่ง อดิศักดิ์ ไกรษร ลงเล่นแทนธีรศิลป์ แดงดา ในแดนหน้า ทำให้ ธีรศิลป์ จะหยุดสถิติยิงประตูในครั้งนี้อยู่ที่ 4 ประตูเท่า แต่ยังเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลฟุตบอลรายการนี้ด้วยจำนวน 19 ประตู

Thailand’s Adisak Kraisorn (L) celebrates scoring during the second leg of the AFF Suzuki Cup 2020 football final match between Thailand and Indonesia at the National Stadium in Singapore on January 1, 2022. (Photo by Roslan RAHMAN / AFP)

ไทยครองบอลได้มากกว่าอย่างชัดเจนและมีโอกาสบุก นาที 54 จากการที่ สุภโชค สารชาติ จ่ายให้ บดินทร์ ผาลา ได้ยิงในกรอบเขตโทษ ติดเซฟผู้รักษาประตูกระดอนมาเข้าทาง อดิศักดิ์ ไกรษร ยิงเล่นทางเสียบเสาสองตุงตาข่ายให้ทีมชาติไทยตีเสมอ 1-1 และเป็นประตูหนีห่าง 5-1

เท่านั้นไม่พอนาที 56 จากการ บดินทร์ ผาลา ได้เปิดบอลในกรอบเขตโทษกองหลังอินโดนีเซีย สกัดออกมาไม่ดี สุภโชค สารชาติ เข้าแย่งบอลได้ แม้ว่าจะโดนทำฟาวล์แต่ผู้ตัดสินปล่อยให้ไทยได้เปรียบ ก่อนที่บอลจะเข้าทาง สารัช อยู่เย็น ตั้งป้อมยิงเต็มข้อบอลแฉลบกองหลังอินโดนีเซีย เข้าประตูพาไทยกลับมานำ 2-1 และสกอร์รวมหนีไปไกลเป็น 6-1

หลังจากนั้นทีมชาติไทยเล่นด้วยความมั่นใจเป็นฝ่ายครองบอลได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอินโดนีเซียจะพยายามวิ่งไล่กดดันแต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ต้องปล่อยให้ขุนพลช้างศึกเป็นฝ่ายครองบอลอยู่หลายนาที เข้าสู่นาที 71 นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ได้เปิดบอลเข้ากลางให้ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองกลางกัปตันทีมได้ยิงเน้นๆ แต่บอลติดบล็อกพลาดโอกาสทำประตูที่ 5 ของตัวเองเพื่อขึ้นนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดในครั้งนี้อย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตามนาที 80 อินโดนีเซียได้โอกาสลุ้นอีกครั้งจากการที่ วิทาน สุเลมาน ตักบอลให้ เอกี มัวลานา วีกรี หลุดเข้าไปซัดเล่นทางเสียบโคนเสาสองตุงตาข่ายให้ ทัพการูดาตีเสมอ 2-2 แต่ว่าสกอร์รวมยังตามหลังไทยอยู่ 2-6 และนาที 85 ไทยปรับทัพครั้งสุดท้ายด้วยการส่ง เจนภพ โพธิ์ขี ลงเล่นแทน สารัช อยู่เย็น ที่มีอาการบาดเจ็บ ทำให้ทัวร์นาเมนต์ทีมชาติไทยใช้ผู้เล่นที่มีชื่อครบทุกคน

ช่วงเวลาไม่มีสกอร์เพิ่มจบเกมทีมชาติไทยเอาชนะอินโดนีเซีย ด้วยสกอร์รวมสองนัด 6-2 ด้วยการไม่แพ้ให้ทีมใดเลย คว้าแชมป์ฟุตบอลอาเซียน เป็นสมัยที่ 6 จากการเข้าชิงทั้งหมด 9 ครั้งมากที่สุดในชาติอาเซียน

จากแชมป์ดังกล่าวทำให้ทีมชาติไทยคว้าแชมป์พร้อมกับรับเงินรางวัลรวมทั้งหมดอย่างน้อย 46 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินจากรางวัลแชมป์ 3 แสนเหรียญ (ราว 10 ล้านบาท) เงินอัดฉีดโดย “มาดามแป้ง”นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมและผองเพื่อน 26 ล้านบาท รวมถึงเงินอัดฉีดจาก “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อีก 10 ล้านบาท

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ