ชูวิทย์ แฉ เส้นทางอาบอบนวดเจ้าพ่อรัชดา “จากนารีสโมสรย้ายไปนอนคุก” พร้อมวอนตามจับเสี่ยกำพล เดอะลอร์ด ให้ได้เหมือนโกลัก นาตารี
วานนี้ (5 ต.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หรือ เสี่ยชูวิทย์ อดีตนักการเมืองและเจ้าของธุรกิจสถานบันเทิงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุถึง หนทางจากรัชดาไปสู่คุก ของนาย โกลัก เจ้าของอาบอบนวดชื่อดัง พร้อมทั้งเล่าเรื่องราว แฉเส้นทางต่าง ๆ ซึ่งเจ้าตัวได้เล่าว่า
“เจ้าพ่อรัชดา ล้วนมีหนทางไปจบที่คุก อย่างเช่นตัวผม เตลิดจากรัชดาไปสู่สภาที่ทรงเกียรติ์ แล้วเส้นกราฟตกต่ำได้เข้าไปนอนคุกอยู่เกือบปี เรียนรู้วิถี “สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน สารภาพติดพอประมาณ”
ออกมาผันตัวเองเป็นผู้สื่อข่าว ได้เรียนรู้ชีวิตมากมาย เห็นมาทุกวงการความเขี้ยว มีคนเขาบอกว่า ผมโชคดีที่เลิกทำธุรกิจอาบอบนวดก่อน ในขณะที่ยังรุ่งเรือง ดีกว่ามาเลิกเอาตอนตำรวจจับ แต่ไม่ใช่หรอก ที่ผมไม่ถูกจับ เพราะผมไม่เคยค้าเด็ก
สมัยผมเริ่มทำ อายุแค่ 32 อยากมีเงินมีทอง มีผู้หญิงล้อมรอบ กิเลสตัณหา ทำให้มีอาบอบนวดถึง 6 ที่ เป็นที่รู้จักตำรวจมากมาย ตั้งมูลนิธิ ให้ทุนเด็กนักเรียน สร้างป้อมตำรวจคืนกำไรให้สังคม ใช้เงินตัวเองทุกบาททุกสตางค์ จนถึงเดี๋ยวนี้ทุกอย่างเหลือแค่ความทรงจำ
โกลัก นาตารี ที่ถูกตำรวจรวบเพราะเอาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไปทำงานในอาบอบนวด จนถูกบุคคลหนึ่งที่ต้องขอชื่นชมในอุดมการณ์แรงกล้า ชื่อ “รณสิทธิ์ พฤษภาชีวะ“ ประธานมูลนิธิ เอ็นเวเดอร์ ในขณะนั้น หรือมูลนิธิรณสิทธิ์ ในปัจจุบัน ที่สืบหาข่าวต่อต้านการค้ามนุษย์ และแจ้งตำรวจบุกจับทั้งโกลัก นาตารี และกำพล เดอะลอร์ด ที่ยังหนีอยู่ทุกวันนี้
โกลักหลบหนีไปหลายปี เขาว่าหนีไปเมืองนอก ที่ไหนได้ หนีไปอยู่แถวบางกอกน้อยนี่เอง ถูกตำรวจจับคาหน้าโรงพยาบาล ศาลคงไม่ให้ประกันเพราะคดีหนัก หลบหนีนาน ได้ลิ้มรสคุกไทยตอนแก่ว่ามันลำบากแค่ไหน ลูกน้องคู่คดียังโดนกันเป็นทิวแถว 50-100 ปีอยู่กันยาวๆ ไป
โกลักกับผม ทำธุรกิจอาบอบนวดกันคนละแบบ ผมทำเพราะรักสนุก อายุ 32 คิดอยากเป็นเจ้าของคลับหรูๆ เป็นผู้ชายชอบเที่ยว แถมได้เงินเร็ว ตอนหนุ่มคิดได้แค่นี้ นักข่าว CNN เคยมาสัมภาษณ์ผมว่า ทำธุรกิจหมิ่นเหม่ศีลธรรม ผมตอบว่าอย่าดัดจริต เพราะคนในสังคมนี้ล้วนมีเซ็กส์
คนไม่มีเซ็กส์นี่สิเป็นเรื่องผิดปกติ ดังนั้น ควรยอมรับ อย่าไปมือถือสากปากถือศีล เพราะหากให้ผมร่ายยาวว่าใครเคยมาสถานที่อโคจรอย่างอาบอบนวด รายชื่อคงยาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่รัฐมนตรี อธิบดี คนมีหน้ามีตา ไปถึงคนที่ท่าทาง ธรรมะธรรมโม เป็นที่นับหน้าถือตาของสังคมปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกค้าเก่าผมทั้งนั้น
แต่ผมนั้นมี “จริยเพศ” ไม่เอาเรื่องพรรค์นี้มาแฉ ให้เสียเชิงชาย มันอดได้ที่ไหนกันเล่า ส่วนโกลัก เล่นเอาเด็กอายุ 15-16 ปี มาทำงานใจกลางรัชดานี่เอง
อย่างนี้มันไม่ไหว เพราะเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ แม้จะยินยอมก็เถอะ เข้าข่ายค้ามนุษย์ ตามด้วยข้อหาฟอกเงิน อันที่จริง แค่ค้าประเวณีมันก็เข้าข่ายค้ามนุษย์แล้ว เดี๋ยวนี้กฎหมายมันแรง แล้วแต่ว่าเจ้าหน้าที่จะเอาจริงหรือเปล่า เพราะอาบอบนวดทุกที่มันก็ค้าประเวณีกันทั้งนั้นล่ะครับ
คนบอกโกลักเป็นคู่ปรับผม ขอบอกว่า คนละรุ่น มวยคนละชั้น CNN เรียกผมว่า “Pimp” ผมบอกว่ากรุณาอย่าดูถูก ให้เรียกผมว่า “Super Pimp” คดีที่ทำให้ผมติดคุกเป็นคดีรื้อบาร์เบียร์ กรรมเก่ามันมีเลยเข้าไปชดใช้ ไม่เคยคิดหนี ติดก็ติด
นี่ยังเหลือเจ้าพ่อรัชดาค้าเด็กอีกคน นาม “กำพล เดอะลอร์ด” ผู้กว้างขวางในวงการ เพราะเป็นนักเลงพระอันดับต้นของเมืองไทย แค่เก็บพระเบญจภาคีมูลค่าก็หลายร้อยล้านแล้ว รายนี้เล่นเอาเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้น มาทำงาน โดนข้อหาเดียวกับโกลัก
ทิ้งลูกน้องติดคุกหัวโต แต่ตัวเองรอด ใช้ “ปาฏิหาริย์ของกฎหมายไทย” ถอดแบบจากคดี บอส กระทิงแดง เปี๊ยบ วิ่งจนลูกเมียหลุด ส่วนเจ้าตัวรอเรื่องเงียบๆ จังหวะดีๆ มีคนใจถึงกล้าเซ็นให้ก่อนเกษียณ คงได้เดินปร๋อเต็มปอดเสียที ไม่ต้องใส่หน้ากากเดินหลบอยู่แถวรังสิต ใกล้ๆ นี่อีกเหมือนกัน
ตำรวจยุคของท่าน ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ตามจับให้ได้ที ยิ่งได้ผู้การใหม่ไฟแรงอย่าง “ผู้การตุ้ม” พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผู้บังคับการกองบังคับการปรามปรามการค้ามนุษย์ ลูกน้องข้างกาย พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล คนจริง พูดน้อย ต่อยหนัก ขอให้ตามจับได้อีกคน
ปิดบัญชี เส้นทางเจ้าพ่อรัชดาเรียงแถวเข้าคุกกันให้หมด จะได้เท่าเทียมกัน ใหญ่แค่ไหนก็จับ ติดคุกยังมีวันออก แต่หากหนี ก็ต้องหนีตลอดชีวิต เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น มีเงินน้อยหน่อย แต่มีอิสรภาพ ดีกว่ามีเงินมาก แต่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไม่มีวันจบ
โชคดี ที่ผมเลิกเสียก่อนตอนรุ่ง ดีกว่าเลิกตอนมีหมายจับมาแปะหน้าบ้าน อยู่เมืองไทยต้อง “อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้” สุภาษิตนี้ ผมท่องทุกเช้าเย็น แปะไว้ที่ข้างฝาบ้าน ยังใช้ได้ทุกวงการ
ตั้งแต่ “รัชดา” ไปยันทำเนียบ “นารีสโมสร”