ชีวิตดั่งรถไฟเหาะของ เมโระ อิมาอิ นักสโนว์บอร์ดโอลิมปิกที่ครั้งหนึ่งเคยเล่น AV

Home » ชีวิตดั่งรถไฟเหาะของ เมโระ อิมาอิ นักสโนว์บอร์ดโอลิมปิกที่ครั้งหนึ่งเคยเล่น AV



ชีวิตดั่งรถไฟเหาะของ เมโระ อิมาอิ นักสโนว์บอร์ดโอลิมปิกที่ครั้งหนึ่งเคยเล่น AV

เธอคือนักสโนว์บอร์ดดาวรุ่งพุ่งแรง เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก และเคยเป็นหนึ่งในตัวความหวังที่จะคว้าเหรียญทองของญี่ปุ่นในกีฬาโอลิมปิก

แต่หลังจากนั้น เธอกลับมีชีวิตที่น่าเศร้า ทั้งพัวพันกับธุรกิจสีเทา ถ่ายแบบโป๊ ไปจนถึงกระโดดไปเล่นหนังผู้ใหญ่ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ AV 

เกิดอะไรขึ้นกับ เมโระ อิมาอิ อดีตสาวน้อยมหัศจรรย์ของญี่ปุ่น ติดตามเรื่องราวดั่งรถไฟเหาะของเธอได้ที่นี่

นักสโนว์บอร์ดดาวรุ่งพุ่งแรง 

ชีวิตของ เมโระ อิมาอิ หรือชื่อเดิม เมโระ นาริตะ ผูกพันกับกีฬามาตั้งแต่เด็ก เมื่อ ทาคาชิ นาริตะ พ่อของเธอคือนักวอลเลย์บอลทีมชาติญี่ปุ่นชุดโอลิมปิก 1992 ที่บาร์เซโลนา และมันก็ทำให้เธอมีดีเอ็นเอของนักกีฬาอยู่ในสายเลือด 

ทว่า กีฬาที่ ทาคาชิ ให้ เมโระ เล่นกลับไม่ใช่วอลเลย์บอลเหมือนเขา แต่เป็นสโนว์บอร์ด โดยเธอเริ่มเล่นมันตอนอายุ 7 ขวบ พร้อมกับ โดเมะ นาริตะ พี่ชาย และ กุริมุ นาริตะ น้องชาย หลังจากลองเล่นตอนไปทริปที่แคนาดา 

หลังจากนั้นสโนว์บอร์ด ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เมื่อทาคาชิ พยายามเคี่ยวเข็ญลูกของเขาอย่างหนัก จนขนาดให้เมโระเรียนถึงแค่ระดับมัธยมต้น (ตามการศึกษาภาคบังคับญี่ปุ่น) เพื่อมาโฟกัสกับกีฬาชนิดนี้อย่างจริงจัง


Photo : dual.nikkei.com | (ซ้าย)

“เรามักจะไปนางาโนะ (จังหวัดที่มีภูเขาสูง และหิมะปกคลุมเกือบทั้งปี) เพื่อซ้อม และฝึกเทคนิคด้วยแทรมโปลินที่บ้านของเราในโอซากา” เมโระ อิมาอิ ย้อนความหลังกับ Tokyo Weekender 

“การซ้อมจะเริ่มต้นตั้งแต่ตีห้า และบางทีก็เสร็จตอนห้าทุ่ม พ่อบอกว่าเราต้องโฟกัสกับการเล่นสโนว์บอร์ดอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเราจึงไม่ได้ไปโรงเรียน ด้วยเหตุนั้นฉันจึงไม่ได้มีการศึกษามากนัก” 

อย่างไรก็ดี วิธีของพ่อของเธอดูเหมือนจะได้ผล เมื่อหลังจากเทิร์นโปรตอนอายุ 12 เมโระ ก็ก้าวขึ้นมาเป็นนักสโนว์บอร์ดที่น่าจับตามองของญี่ปุ่น หลังคว้าแชมป์ระดับประเทศในรุ่นฮาล์ฟไปป์ (นักกีฬาจะต้องเล่นไปตามแนวที่มีลักษณะเหมือนท่อผ่าครึ่ง) ด้วยวัยเพียง 14 ปีในปี 2001 และคว้าแชมป์โลกระดับเยาวชนในปีต่อมา 


Photo : jp.sputniknews.com

หลังจากนั้น ความสำเร็จกับเธอก็กลายเป็นของคู่กัน เมื่อเมโระ เดินหน้าคว้ารางวัลมาประดับตู้โชว์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ของสมาพันธ์สกีโลกในปี 2003, 2004, 2005 หรือแชมป์โลกในปี 2005 

แต่คงไม่มีอะไรเทียบเท่าได้กับการติดทีมชาติญี่ปุ่น และได้ผ่านเข้าไปเล่นในโอลิมปิกฤดูหนาวที่ตูริน ประเทศอิตาลีในปี 2006 ด้วยวัยเพียง 18 ปี 

อย่างไรก็ดี มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งฝันร้าย

โอลิมปิกที่แสนเศร้า 

โอลิมปิกฤดูหนาว อาจจะไม่ใช่การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าโอลิมปิกฤดูร้อน แต่มันก็เป็นทัวร์นาเมนต์สำคัญที่เป็นโอกาสแต่ละชาติ โดยเฉพาะประเทศเหนือเส้นศูนย์สูตร สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองให้โลกได้เห็น  

เช่นกันสำหรับญี่ปุ่น ที่ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะคว้าเหรียญทองในโอลิมปิก ตูริน 2006 เพราะครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทำได้ คือตอนเป็นเจ้าภาพที่นางาโนะ เมื่อปี 1998 หรือราว 8 ปีก่อนหน้านั้น


Photo : torino2006.nikkansports.com

และ เมโระ อิมาอิ ก็เป็นหนึ่งในตัวความหวังที่จะคว้าเหรียญทองของพวกเขา หลังเพิ่งคว้าแชมป์โลกมาเมื่อหนึ่งปีก่อน และทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในรอบคัดเลือกคว้าสิทธิ์เข้าแข่งขัน แม้ว่ามันจะเป็นโอลิมปิกครั้งแรกของเธอก็ตาม 

ทำให้ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น เมโระ ได้รับการโปรโมทจากสื่ออย่างถล่มทลาย แถมด้วยบุคลิกที่กล้าพูดกล้าทำ จนถึงขั้นแร็ปโชว์ ในงานเปิดตัวนักกีฬาโอลิมปิก ยิ่งทำให้เธอกลายเป็นดาวเด่นที่มีแต่คนพูดถึงและช่วยเชียร์ให้เธอคว้าเหรียญให้ได้ 

อย่างไรก็ดี โชคร้ายที่มันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะแค่เพียงในการแข่งขันรอบแรก ซึ่งเป็นรอบคัดเลือก เมโระ ดันมาได้รับอุบัติเหตุกระแทกเข้ากับขอบของฮาล์ฟไปป์อย่างแรง แรงกระแทกทำให้เธอหมดสติจนต้องออกจากการแข่งขัน และจบในอันดับ 34 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย

แต่นั่นก็ไม่เลวร้ายเท่ากับการถูกโจมตีจากแฟนกีฬาในประเทศ เมื่อหลังโอลิมปิก พวกเขาพากันด่าทอเธออย่างเสียหาย บางคนบอกว่าเธอคือ “ความสิ้นเปลืองของภาษีประชาชน” ในขณะที่บางคนบอกว่า เธอคือ “ความอับอายของญี่ปุ่น” 


Photo : torino2006.nikkansports.com

การถูกโจมตีอย่างหนัก ทำให้ เมโระ ไปไม่เป็น แน่นอนว่าเธอเองก็ผิดหวังกับผลงานในโอลิมปิกครั้งแรกของเธอ แต่การถูกซ้ำเติมจากสังคม ทำให้สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่ลงไปอีก 

“สำหรับนักกีฬาทั่วไป โอลิมปิกคือจุดสูงสุดของอาชีพ แต่สำหรับฉันมันคือฝันร้าย” เมโระกล่าวกับ Tokyo Weekender 

“ฉันไม่ได้หมายความแค่เพราะฉันได้รับบาดเจ็บ และล้มเหลว แต่ประสบการณ์ทั้งหมดช่างเลวร้าย มันนำไปสู่การกลัวความล้มเหลวในการแข่งขัน มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนหายใจไม่ออก และมันก็เป็นแบบนั้นซ้ำ ๆ ตลอดอาชีพของฉัน” 


Photo : www.jiji.com

นอกจากนี้เธอยังถูกกลั่นแกล้งในหมู่นักสโนว์บอร์ดด้วยกันเอง ด้วยการเอาคำว่า “เมโระชิตะ” (Meroshita) ซึ่งมีที่มาจากชื่อของเธอ มาใช้เป็นแสลงแทนคำว่า “ชน” ในภาษาญี่ปุ่น  

สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอไม่กล้าออกมาสู้หน้าผู้คน จนกลายเป็นฮิคิโคโมริ (คนที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง หรือเลี่ยงที่จะปฏิสัมพันธ์กับคน) และเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน เป็นระยะเวลาถึง 6 เดือน

แต่มันคงจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ ทำให้ครึ่งปีหลังโอลิมปิก เมโระ ตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการย้ายบ้านกลับไปอยู่ที่โอซากา ด้วยความหวังว่าชีวิตแบบ “ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป” จะทำให้เธอกลับมายืนได้อีกครั้ง 

อย่างไรก็ดี มันกลับเลวร้ายกว่านั้น

สู่ธุรกิจสีเทา 

หลังจากผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก เมโระ เริ่มตั้งต้นใหม่ได้อีกครั้งที่โอซากา แต่การมีวุฒิเพียงแค่ ม.ต้น ทำให้เธอมีตัวเลือกไม่มากนัก ก่อนจะจบลงด้วยการเป็นสาวโฮสต์ในบาร์ (คล้ายกับเด็กดริงค์ในไทย) ที่คอยชงเหล้าและเอนเตอร์เทนลูกค้า 

อย่างไรก็ดี อาชีพนี้ถือเป็นอาชีพที่มีรายได้พอสมควร ซึ่งโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 192,000 เยน (ราว 55,000 บาท) และถ้าเป็นอดีตคนดัง หรือตัวท็อปอาจทำรายได้ในระดับเกินกว่า 4 ล้านเยนต่อเดือน (1.1 ล้านบาท) ทำให้เธอใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยท่ามกลางแสงสี 


Photo : yahoo.co.jp

“หลังโอลิมปิก ฉันทำเหมือนกับว่าฉันเป็นประธานบริษัท บางครั้งฉันไปปาร์ตี้ที่บาร์โฮสต์ และเสียเงินไปเป็นล้านเยน (290,000 บาท) ภายในคืนเดียว” เมโระ ย้อนความหลัง 

ในช่วงแรก มันอาจจะไม่ใช่ปัญหา เพราะเธอยังมีเงินเก็บอยู่บ้างจากสปอนเซอร์ก่อนโอลิมปิก แต่พอเงินหมด รายได้ก็เริ่มไม่พอกับรายจ่าย ทำให้เธอต้องหันเหสู่ธุรกิจผิดกฎหมาย นั่นก็คือการขายบริการทางเพศ 

จุดเริ่มต้นมาจากงานสาวโฮสต์ที่เธอทำ ที่ทำให้มีคนชักชวนมาทำงานนี้ โดยเป็นการขายบริการที่เรียกว่า Call Girl หรือนางโทรศัพท์ ซึ่งมีข่าวลือว่าเธอมีค่าตัวสูงถึง 150,000 เยนต่อการเรียกหนึ่งครั้ง (42,000 บาท)

Bunshun Shukan สื่อจอมแฉญี่ปุ่นออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ในปี 2007 ด้วยการตีพิมพ์บทความพร้อมกับพาดหัวว่า “M.I. สุดสวยจากโอลิมปิกฤดูหนาวที่ตูริน กำลังทำงานขายบริการทางเพศแบบพาร์ทไทม์” 

ในบทความเต็มไปด้วยรูปผู้หญิงที่มีรูปร่างและหน้าตาคล้ายกับเมโระ ในชุดชั้นใน พร้อมระบุว่าเธอมีชื่อว่า “โคะยูกิ” (ซึ่งแปลว่าหิมะตกเล็กน้อยในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งโยงไปถึงกีฬาสโนว์บอร์ดที่ต้องเล่นท่ามกลางหิมะ) ก่อนที่พวกเขาจะสืบต่อและพบว่า โคะยูกิ และ เมโระ อิมาอิ คือคนเดียวกัน 

“ฉันบอกคุณได้ตอนนี้ว่าผู้หญิงไม่มากที่รู้ว่า โคยูกิ คือ เมโระ อิมาอิ ฉันเคยได้ยินเธอพูดแบบนั้นครั้งหนึ่ง ฉันเห็นเธอเขียนชื่อจริงของเธอให้ผู้หญิงคนหนึ่ง” แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางเพศคนหนึ่งในโอซากาบอกกับ Bunshun 

“เธอเคยพูดประมาณว่าเธอเคยไปโอลิมปิก และฉันเคยเห็นเธอโชว์ใบขับขี่ให้เด็กสาวคนหนึ่ง เด็กสาวคนนั้นตกใจมากและพูดว่าเรื่องเมโระไม่ใช่เรื่องโกหก” 

เมโระ ไม่ได้ออกมายอมรับหรือปฏิเสธ แต่เธอกลับทำในสิ่งที่ฮือฮากว่านั้น ด้วยการเบนเข็มมาเป็นนางแบบกราเวียร์ (นางแบบเซ็กซี่ของญี่ปุ่น) ด้วยการออก DVD รวมภาพโป๊เปลือยในชื่อ Mellow メロウ เมื่อปี 2008 


Photo : aucview.aucfan.com

และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเข้าสู่วงการนี้แบบเต็มตัว เมื่อหลังจากนั้น เมโระ มีผลงานในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายแบบเปลือยลงนิตยสาร ออก DVD รวมภาพ หรือโฟโต้บุ๊คแบบโป๊เปลือย 

“ฉันเคยอายมาก ๆ และรู้สึกอยากจะเอาอะไรมาคลุมร่างกายอยู่เสมอ” เมโระ กล่าวกับ Tokyo Weekender

“แต่บางอย่างก็เปลี่ยนไปในช่วงไม่กี่ปีนี้ ฉันต้องทำงานให้เสร็จ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว ฉันเริ่มเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าเดิม การทำงานแบบนี้คุณไม่สามารถขี้อายได้ และนั่นก็ช่วยฉันได้มาก”


Photo : merumo.ne.jp

ในปี 2017 เมโระ จะไปจนสุดทาง ด้วยการรับแสดงในวิดีโอผู้ใหญ่ หรือที่รู้จักกันว่า AV กับค่าย Muteki ค่ายที่ขึ้นชื่อในการเอานางแบบกราเวียร์หรืออดีตผู้มีชื่อเสียงมาแสดง (หนึ่งในนั้นคือ ยูอะ มิคามิ อดีตสมาชิกวง SKE48) และออกผลงานกับค่ายนี้ในชื่อ Snow Drop และ Snow Out 

อะไรที่ทำให้เธอมาถึงจุดนี้ ?

ความฝันพ่อ ≠ ความฝันตัวเอง  

“ฉันเติบโตมากับพ่อที่เข้มงวด จนกระทั่งฉันอายุ 17” เธอกล่าวกับ Nikkan Gendai 


Photo : entertainment-topics.jp

ความฝันคือแรงผลักดันให้มนุษย์ทุ่มเทและพยายามเพื่อไปถึงสิ่งนั้น มันคือน้ำหล่อเลี้ยงให้คนที่กำลังท้อถอยได้สู้ต่อ ทว่าผลของมันอาจจะตรงข้ามสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของความฝันนั้น และ เมโระ ก็คือคนนั้น 

จุดเริ่มต้นของมัน ต้องย้อนกลับไปในปี 1992 เมื่อทาคาชิ พ่อของเธอ ต้องผิดหวังในโอลิมปิก 1992 ที่บาร์เซโลนา เมื่อทีมวอลเลย์บอลของเขาไปได้ไกลเพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำให้เขาเอาความฝันที่จะคว้าเหรียญในโอลิมปิกมาฝากไว้กับลูก ๆ 

ทาคาชิ ฝึกฝนลูก ๆ ของเขาอย่างหนักเขา ทุ่มเทกับสิ่งนี้อย่างเต็มที่ ในด้านหนึ่งมันอาจจะได้ผล เมื่อมันทำให้เมโระ กลายเป็นนักกีฬาฝีมือดีตั้งแต่อายุน้อย แต่ในอีกด้านหนึ่งความเข้มงวดนั้นกลายเป็นความกดดันและปมในใจของเธอ 

“ฉันต้องตัดผมสั้น และสวมแต่กางเกงวอร์มอยู่เสมอ” อดีตนักสโนว์บอร์ดโอลิมปิกกล่าวกับ Tokyo Weekender

“ฉันไม่ค่อยมีโอกาสเหมือนผู้หญิงคนอื่น ที่ได้แต่งหน้า ไปคาราโอเกะ หรือช็อปปิ้งกับเพื่อน ๆ ฉันอิจฉาคนในวัยเดียวกันกับฉันที่มีอิสระในการทำอะไรที่วัยรุ่นส่วนใหญ่เขาทำกัน มันไม่ใช่ทางเลือกสำหรับฉัน เพราะฉันรู้สึกว่าไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อได้” 

ทำให้ก่อนโอลิมปิก 2006 เมโระ ตัดสินใจตัดขาดจากพ่อของเธออย่างเด็ดขาด ด้วยการเลิกติดต่อกับทาคาชิ นอกจากนี้ เธอยังได้เปลี่ยนสนามสกุลจาก เมโระ นาริตะ มาเป็น เมโระ อิมาอิ ซึ่งเป็นนามสกุลของแม่ที่หย่ากับพ่อตั้งแต่เธออายุเพียง 5 ขวบอีกด้วย 

“เขาดีใจที่ฉันได้ผ่านเข้าไปเล่นในโอลิมปิก แต่หนึ่งเดือนก่อนการแข่งขัน ฉันเลิกติดต่อเขา ฉันคิดว่ามันน่าจะทำให้ฉันมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น” เมโระกล่าวต่อ 


Photo : torino2006.nikkansports.com

แต่สุดท้ายผลกลับตรงกันข้าม เมื่อการไม่มีพ่ออยู่เคียงข้าง ทำให้ เมโระ ขาดเป้าหมายในชีวิต เธอกลายเป็นคนหมดแพชชั่น ที่ไม่รู้ว่าเธอจะเล่นสโนว์บอร์ดไปเพื่ออะไร มันเป็นแบบนั้นมาตลอดหลังโอลิมปิก 

“เวลาฉันชนะ พ่อจะชมฉัน และนั่นคือแรงกระตุ้นของฉัน ฉันไม่ได้ทำเพราะตัวฉันเอง” อดีตนักกีฬาโอลิมปิกอธิบาย

“แต่หลังจากนั้นแม้ฉันจะคว้าแชมป์ ฉันก็ไม่รู้สึกอะไร ฉันเริ่มถามตัวเองว่าอะไรที่มีความหมายจริง ๆ กับฉัน ฉันคิดว่าถึงฉันจะจบในอันดับ 1 ที่ตูริน ฉันก็คงไม่ได้รู้สึกพอใจอะไร ฉันไม่น่าไปที่นั่นเลย” 

การเลิกติดต่อกับ ทาคาชิ ทำให้ เมโระ รู้สึกไม่ถูกครอบงำก็จริง แต่มันทำให้เธอไร้หางเสือในชีวิต บวกกับการต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ย่ำแย่หลังโอลิมปิก ยิ่งทำให้เธอจมดิ่งไปกับความมืดดำ จนกลายเป็นคนหลงทาง 

นอกจากนี้เธอยังต้องเผชิญกับปัญหาทางจิตใจ อันเนื่องมาจากการเคยถูกข่มขืนตอนอายุ 17 และเคยทำแท้ง เมโระ ยอมรับว่าเธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และต้องพบจิตแพทย์ รวมถึงเคยพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกรีดแขนมาก่อน 

“ฉันเคยถูกข่มขืนและมีลูกตอนอายุ 17 มันจึงดูเหมือนชีวิตฉันจะยุ่งเหยิงหลังจากนั้น” เมโระเผย 

อย่างไรก็ดี เธอไม่ยอมให้มันจบลงตรงนี้ 

ฟ้าหลังฝน 

แม้จะต้องเผชิญกับคำครหา แต่เมโระ ก็ยอมรับว่าเธอไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจในอดีต และปล่อยวางกับทุกเสียงวิจารณ์  โดยเฉพาะการถ่ายแบบนู้ด ที่ทำให้เธอมีเงินพอที่จะมาล้างหนี้ รวมถึงเป็นทุนการศึกษาของลูกทั้งสอง หลังต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจากการหย่ากับสามีมา 2 ครั้ง


Photo : aikru.com

“มีการเขียนเกี่ยวกับชีวิตของฉันมากมายในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ แต่ฉันเชื่อว่าคนเราไม่ควรตัดสินจากสิ่งที่อ่าน” เมโระให้สัมภาษณ์กับ Tokyo Weekender 

“คุยกับฉันสิ และคุณจะเห็นว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นเรื่องแย่ในชีวิตของฉัน ฉันสนุกกับงานของฉันและกลับไปเล่นสโนว์บอร์ดอีกครั้ง”  

และเธอก็ได้ทำได้อย่างที่ว่าเอาไว้ เมื่อในปี 2018 เมโระ ตัดสินใจหวนคืนสู่วงการสโนว์บอร์ดอีกครั้ง ด้วยการสมัครเข้าแข่งขันในรายการ All Japan Snowboarding Championships หรือศึกชิงแชมป์ญี่ปุ่น  

ในตอนนั้นทุกคนคิดว่า เมโระ น่าจะมาลงแข่งเพื่อเคาะสนิม เพราะรายการสุดท้ายที่เธอลงแข่งและคว้าแชมป์คือ Takasago Cup เมื่อปี 2008 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว 

แต่เพชรก็ยังเป็นเพชรวันยังค่ำ เมื่อเมโระ สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะผงาดคว้าแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ในรุ่นฮาล์ฟไปป์ ด้วยการทำไปถึง 90.75 คะแนน มากกว่า โมโมอะ โมริ อันดับ 2 ที่ได้ 76.75 คะแนน ทั้งที่มีเวลาซ้อมเพียงแค่ 4 วัน


Photo : sharetube.jp

ปัจจุบัน เมโระ เลิกแสดง AV อย่างถาวร รวมไปถึงไม่รับงานถ่ายแบบเปลือยอีกแล้ว  และกลับมามุ่งมั่นฝึกซ้อมเพื่อกลับไปติดทีมชาติอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายคือโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน 

“ฉันอยากจะกลับมายังโลกของสโนว์บอร์ด ดังนั้นฉันจึงพยายามที่จะไม่ไปข้องเกี่ยวกับสิ่งลามกอนาจารจนเกินไป” เธอบอกเหตุผล 

ต้องมารอดูว่าต่อจากนี้เธอจะทำผลงานเป็นอย่างไร และจะได้ไปโอลิมปิกอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครรู้ สิ่งเดียวที่รู้คือ เมโระ อิมาอิ ยังไม่ยอมแพ้ และเส้นทางในอาชีพนักสโนว์บอร์ดของเธอก็ยังไม่จบลง 

เพราะตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ชีวิตก็ยังมีหวังเสมอ 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ