‘ชาติพัฒนากล้า’ เหน็บ นโยบายค่าแรง พรรคการเมืองชอบยกมาหาเสียง ชี้ถ้าปรับขึ้น สินค้าแพงทั้งแผ่นดิน ธุรกิจ SME ตายหมู่แน่

วันที่ 7 ธ.ค.65 นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองชอบนำมาหาเสียงกันมาก และหาเสียงกันแบบไม่รับผิดชอบเสียด้วย ซึ่งหากย้อนกลับไปดูในอดีตเมื่อปี 10 ปีที่แล้ว ได้มีศึกษาวิจัยถึงผลกระทบของการขึ้นค่าแรงของไทย จาก 225 บาท เป็น 300 บาทกันอยู่หลายฉบับ และเป็นยุคคนเวียดนามเฮกันทั้งประเทศทั้งนายจ้างลูกจ้าง เพราะทำให้ เวียดนามเป็นประเทศที่ผงาดและเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การลงทุนจากญี่ปุ่นและเกาหลี ถอนจากไทยไปลงทุนที่เวียดนามกันจำนวนมาก จนเกิด Japan town และ Korea town ถือเป็นยุคทองของเวียดนามมาจนถึงปัจจุบัน

นายวรวุฒิ กล่าวว่า อันที่จริงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ มี 3 ภาคส่วนที่ต้องหารือร่วมกัน นั่นคือ รัฐบาล และองค์กรนายจ้าง รวมไปถึงองค์กรผู้ใช้แรงงาน จะเป็นค่าแรงขั้นต่ำเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ต้องเจราจาหารือให้มีข้อยุติจากทั้ง 3 ฝ่าย เพราะนโยบายถ้าออกโดยรัฐ เพื่อเอาใจฐานเสียงเสียแล้ว แต่คนรับภาระคือนายจ้างและผู้ประกอบการทั้งประเทศ ผลกระทบที่ตามมาในระบบเศรษฐกิจนั้นมหาศาล

ทั้งการแข่งขันกับต่างประเทศ และภาวะเงินเฟ้อสินค้าขึ้นราคาทั้งประเทศ ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากๆ การลงทุนจากต่างประเทศจะลดลง ต้นทุนการผลิตสินค้าไทยจะสูงขึ้น การนำเข้าจากจีนจะสูงขึ้นมากเพราะต้นทุนสินค้าไทยแพง และการส่งออกจะมีปัญหาแน่ ๆ ทั้งหมดคือตัวขับเคลื่อนให้ GDP ไทยไปในทางลบทั้งสิ้น

“กลุ่มที่น่าห่วงสุดคือ SME ที่เป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ที่ถ้าเจอค่าแรงขั้นต่ำของนโยบายรัฐเข้าไป จะยิ่งตายหมู่ ทั้งปัญหาทุนใหญ่ผูกขาด ทั้งตลาดฝืดหลังยุคโควิด รวมไปถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาแบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ และเงินกู้นอกระบบที่ต้นทุนสูงลิ่ว SME 3-4 ล้านราย ที่เป็นประชากรเกือบ 20 ล้านคน เจอต้นทุนจากค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไป จะทำอย่างไร หลายรายคงไม่รอด และหลายรายคงต้องขึ้นค่าสินค้าและบริการ สิ่งที่ตามมาคือ..ราคาสินค้า แพงทั้งแผ่นดิน” รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว

นายวรวุฒิ กล่าวว่า เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ที่ชอบใช้หาเสียงกัน ถึงเวลาก็อ้างโน่นอ้างนี่ ว่าทำไม่ได้เพราะเจ้าของกิจการต้าน นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แต่รัฐบาลที่หาเสียงลอยตัวก็ได้อำนาจรัฐมาแล้วเรื่องที่ประชาชนคนไทยต้องทบทวน