ชลน่าน แจงโทรเคลียร์ พัลลภ ยันเป็นสมาชิกพท.ตลอดชีพ ใครปลดไม่ได้ถ้าไม่เข้าข่ายความผิด เตรียมไปกราบเชิญมาช่วยพรรค ลั่นไม่เกี่ยวคนแดนไกล
เมื่อเวลา 12.45 น. วันที่ 4 ม.ค.65 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคพท.แถลงชี้แจงกรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตที่ปรึกษานายกฯ และอดีตนายทหารยังเติร์ก กล่าวถึงตนและพรรคพท.ว่า เนื่องจากมีผู้ร้องไปยื่นร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้มาสอบข้อเท็จจริง ว่ามีการกระทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองที่เป็นเหตุให้ยุบพรรคพท.ได้หรือไม่จากกรณีคำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.พัลลภ จากนั้นมีข่าวเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของท่าน และมีการขยายผลออกไปจนมีการร้องดังกล่าว ทำให้ตนต้องมาแถลงข้อเท็จจริง โดยในเนื้อข่าวมีการพูดถึงการปลดท่านออกจากสมาชิกพรรคพท.โดยอ้างเหตุจากการประชุมใหญ่ของพรรคพท.ที่จ.ขอนแก่นช่วงเดือน ต.ค.64 ที่ พล.อ.พัลลภถูกลบชื่อออกจากที่ประชุมนั้น ขอเรียนว่าการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพท.เป็นการประชุมใหญ่ เกิดขึ้นภายใต้ข้อจำกัดของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีตัวแทนทั้งจากสาขาพรรค กรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค ส.ส. ซึ่งสามารถเชิญคนได้ 509 คนเท่านั้น รวมทั้งผู้อาวุโสส่วนใหญ่เราก็ไม่ได้เชิญไป เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น นายเสนาะ เทียนทอง นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นต้น จึงเป็นเหตุให้พล.อ.พัลลภกล่าวอ้างว่าถูกลบชื่อออกจากที่ประชุม ซึ่งการลบชื่อนั้นไม่น่าจะเป็นความจริงเพราะเราเชิญเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมเป็นองค์ประชุมได้จริงๆ
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ส่วนที่ พล.อ.พัลลภกล่าวอ้างว่าท่านถูกปลดออกจากสมาชิกพรรคนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะพล.อ.พัลลภยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่หมายเลขสมาชิกพี 103820422 แบบตลอดชีพ จ่ายค่าสมาชิกตลอดชีพเมื่อวันที่ 4 เม.ย.61 ดังนั้นการที่ท่านอ้างว่าท่านถูกปลด ท่านคงเข้าใจไปเองจากการที่มีคนไปรายงานว่าท่านถูกเอาชื่อออกจากการประชุมมากกว่า และตามข้อบังคับพรรคพท. ไม่มีใครสามารถปลดสมาชิกพรรคได้ โดยเหตุการณ์สิ้นสุดการเป็นสมาชิกมีอยู่แปดเรื่อง เช่น ตาย ลาออก ขาดคุณสมบัติต้องห้ามตามกฏหมาย ไม่จ่ายค่าบำรุงสมาชิกติดกันสองปี พรรคถูกยุบ เป็นต้น อย่าว่าแต่คนในเลย ยิ่งไปกล่าวอ้างคนนอกยิ่งปลดไม่ได้ ยืนยันว่าการปลดออกจากสมาชิกพรรคนั้นไม่เป็นความจริงท่านเป็นสมาชิกอาวุโสที่เราเห็นคุณูปการ เพราะท่านเริ่มมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย เป็นบุคคลสำคัญของพรรค เราเห็นความสำคัญของท่านตลอด ตนยังตั้งใจจะไปกราบท่าน ยิ่งเห็นข่าวยิ่งต้องไปกราบท่านเพื่อให้ท่านเข้ามามีบทบาทในสิ่งที่ท่านมีความสามารถในเรื่องนั้นๆ เราเคารพท่าน สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากที่ท่านได้รับรายงานว่าถูกลบชื่อออกไปจากที่ประชุมซึ่งน่าจะเป็นเหตุนี้มากกว่า
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการกล่าวว่ามีการพูดคุยทางโทรศัพท์ กล่าวอ้างถึงบุคคลภายนอกสั่งปลดและมีชื่อตนเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง ตนระมัดระวังเรื่องนี้มากเพราะพรรคเราถูกจ้อง ดังนั้นการจะพูดคุยทางโทรศัพท์ว่าคนแดนไกลหรือคนนอกสั่งปลด เมื่อดูจากข้อเท็จจริงก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไม่มีการปลดกัน ส่วนที่พล.อ.พัลลภเคยกล่าวอ้างว่าเคยช่วยเหลือตนนั้นเป็นเรื่องจริง โดยในการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 เป็นช่วงที่วิกฤตมาก ตนได้รับความเมตตาจากท่านซึ่งเป็นเรื่องจริง ส่วนที่มีบุคคลไปร้องกับ กกต.ว่าการกระทำตามที่พล.อ.พัลลภกล่าวอ้างในสื่อและพาดพิงถึงชื่อตน เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งขอฝากไปยังผู้ร้องแม้เจตนาร้องเพื่อให้สอบข้อเท็จจริง แต่ท่านมีเจตนายุบพรรคพท.ซึ่งกฎหมายพรรคการเมืองก็คุ้มครองพรรคอยู่ หากท่านร้องเท็จ เราจะพิจารณาว่าจะต้องดำเนินการอะไรตามกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ ทั้งนี้ การมาบอกว่าบุคคลภายนอกมาชี้นำพรรค ซึ่งไม่เป็นความจริง เจตนาของท่านร้องเท็จ ยืนยันว่ากรรมการบริหารพรรคไม่เคยยินยอมให้บุคคลภายนอกมาสั่งมาชี้นำ ครอบงำให้ปลดคนนั้นคนนี้ ซึ่งกระทำไม่ได้อยู่แล้ว และการกระทำนี้สามารถพิสูจน์จากการกระทำได้จริง เพราะกรรมการบริหารพรรคทำงานแบบเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำ ชี้งำใดๆ โดยสรุปเมื่อไม่มีการปลด จะไปร้องว่ามีการกระทำเกิดขึ้นมิได้
“ผมยังรักและเคารพพล.อ.พัลล ภพร้อมไปกราบท่านเพื่อทำความเข้าใจและเรียนชี้แจงท่าน ซึ่งเมื่อวานผมได้โทรศัพท์ต่อสายถึงท่านเป็นครั้งแรก และได้พูดคุยในหลายประเด็นและเรียนชี้แจงท่านในเรื่องที่เกิดขึ้นได้พูดถึงความสำคัญของท่านต่อพรรค และพร้อมที่จะไปกราบขอให้ท่านเข้ามามีส่วนร่วมเข้ามามีโอกาสทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพรรค แต่ช่วงนี้ท่านบอกว่าท่านมีข้อจำกัดเรื่องของคนที่จะไปเยี่ยมเพราะมีเรื่องของโควิดที่ท่านจะต้องกักตัว และจากการพูดคุยกัน ผมได้ชี้แจงท่านเรื่องของการถูกปลดจากสมาชิกแล้ว ซึ่งท่านเข้าใจ” นพ.ชลน่าน กล่าวและว่า ตนไม่ได้สอบถามท่านกรณีที่ท่านให้สัมภาษณ์สื่อออกไป เพราะจะถือเป็นการละลาบละล้วง แต่มูลเหตุอาจมาจากพอมีคนรายงานว่าท่านถูกลบชื่อ ทำให้ท่านเข้าใจผิดได้
เมื่อถามถึงกรณีของนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีผู้ร้องลักษณะเดียวกัน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ผู้ร้องกลัวโดนกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 110 เลยหลีกเลี่ยงให้ กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเข้าข่ายหรือไม่ แต่เจตนาของท่านทำให้เราถูกสอบและทำให้เราเดือดร้อนเจตนาแปลเป็นอื่นไม่ได้ โดยทั้งสองกรณีใกล้เคียงกัน มีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกซึ่งบุคคลภายนอกท่านนี้ ทุกคนรู้ว่าท่านเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และอยู่ต่างประเทศ ซึ่งการแสดงออกของท่านเหมือนเป็นเชิงสัญลักษณ์ แต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ใครอยากคุย อยากพูดเกี่ยวกับพรรคพท. ท่านรักคนไทย รักพรรคพท. ท่านก็ย่อมพูดถึงพรรคได้ คำพูดถึงนั้นคนก็เอาไปตีความว่าเป็นการชี้นำ ครอบงำทั้งๆที่ต้องไปดูองค์ประกอบว่ากรรมการบริหารพรรคนั้นยินยอมให้มีการกระทำนั้นหรือไม่ แต่ผู้ร้องพอได้ยินก็เอาไปร้องซึ่งกรณีนายวิฑูรย์ที่เอาไปพูดแบบนั้น พูดได้เลยว่าการเข้าพรรคพท.เป็นศูนย์ หากรับเขามาก็ครบองค์ประกอบ พูดได้เลยว่าตนไม่ยอม ทั้งนี้ การกล่าวหาเป็นสิทธิแต่คุณก็กำลังละเมิดสิทธิพรรคพท.เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กกต.ยังไม่ได้เรียกเราไปชี้แจง หากเรียกเราก็พร้อม ฝ่ายกฎหมายเราเตรียมข้อมูลพร้อม เรามั่นใจว่าไม่ได้เข้าข่ายกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 28 ซึ่งเราไม่เคยยอมให้ใครเข้ามาครอบงำ ชี้งำ