ชมพู่ ก่อนบ่าย ตอบแล้ว รวยมาจากไหน? แซะกลับคนถาม ไปทำงานก่อน
ชมพู่ ก่อนบ่าย ตอบแล้ว / คุณแม่สายฮา ชมพู่ ก่อนบ่าย ถึงกับปรี๊ด หลังเจอชาวเน็ตที่ดูรายการ ตีท้ายครัว ซึ่งเจ้าตัวไปออก คอมเมนต์ถามสงสัยว่าเธอทำไมถึงร่ำรวยเอาเงินมาจากไหน รายการก็ไม่ค่อยได้ออก หายจากสื่อไปก็นานแล้ว
งานนี้ ชมพู่ ก่อนบ่าย หรือ ชมพู่ ธัณย์สิตา ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดออนไลน์ว่า “ตลกดีค่ะ(หัวเราะ) อ่านจบแล้วก็รู้สึก อะไรของเขาหนอ เขาจะรู้ไหมว่ากว่าจะมีทุกวันนี้ได้ฉันเหนื่อยนะโว้ย ทำงานมาตั้งแต่อายุ 19 ปี ตอนนี้จะอายุ 40 ปีแล้ว ถ้ารู้จักเก็บรู้จักวางแผนให้ดี มันก็ไม่ยากที่เราจะสำเร็จได้ พออ่านจบที่เอามาโพสต์ก็เพราะว่าบางทีเราอยากแชร์ประสบการณ์
อยากให้ทุกคนเข้าใจว่ากว่าที่เราจะมี กว่าที่เราจะสำเร็จ กว่าที่เราจะมีความเก่ง ระหว่างทางมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ คนที่ดวงดีถูกลอตเตอรี่อันนั้นก็เป็นโชคของเขา แต่ของชมพู่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เคยเจอปัญหาในชีวิต เคยผิดพลาด เคยล้มเหลวมาเยอะ กว่าจะมีทุกวันนี้คือไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
บ้าน 30 ล้าน ที่มาที่ไปเป็นอย่างไรบ้าง? “ฉันก็ไม่ได้มีเงินเป็นร้อย เป็นพันล้านนะ แบบเอาเงิน 30 ล้านมาซื้อด้วยเงินสด ทุกอย่างเกิดที่การเก็บออม แล้วก็การวางแพลนว่าในปีนี้เราซื้อที่ ซื้อเสร็จเราต้องวางแพลนปลูกบ้านงบประมาณเท่าไหร่ วางเงินเป็นงวดๆ
แล้วก็จัดสรรรายได้ที่เราได้ แล้วเราก็มีเงินของสามีที่เขาขายคอนโดได้ ทำธุรกิจได้ เราก็ช่วยกันสร้างบ้านหลังนี้ด้วยกัน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ใช้เวลา 2 ปีครึ่งนะ กว่าจะได้ ทุกวันนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เรายังต้องทำสวน ทำอะไรอีกเยอะแยะมากมาย”
ต้องเข้ารายการตื่นตี 5 ทุกวัน แต่ชาวเน็ตบอกไม่เห็นออกรายการ แต่มีเงิน อยากจะบอกเขาว่ายังไง? “มีชาวเน็ตมาช่วยเถียงให้แล้วอ่ะนะ ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนมาหนอ ชมพู่ตื่นตี 5 จันทร์-ศุกร์ จริงๆ ทำรายการสดทุกเช้า แล้วตอนนี้ก็มีรายการ 8 รายการค่ะ แล้วก็มีงานจ้าง งานพรีเซ็นเตอร์ มีธุรกิจที่ยังทำอยู่ เลยแอบขายก๋วยเตี๋ยวด้วยเลย ตอนนี้ก็ยังมีหนี้อยู่เหมือนกันนะจ๊ะ(ยิ้ม)”
คนอาจจะเข้าใจว่าการเป็นดาราทำงานสบาย เงินดี? “ถามว่างานในวงการบันเทิงเงินดีไหม ต้องยอมรับว่างานในวงการบันเทิงรายได้ดี แต่ไม่ใช่ว่ามานั่งเฉยๆ แล้วได้เงิน โดยเฉพาะงานของชมพู่ มันต้องใช้พลังเยอะมากในเรื่องของการเอ็นเตอร์เทนคน การใช้มุข การทุ่มเท มันก็จะเหนื่อยกว่าการเป็นนางเอก พระเอกด้วยซ้ำ เราต้องฝึกฝนนะ
ถ้าเราเข้ามาแล้วเราไม่มีระเบียบวินัย เราไม่มีความสามารถ เราไม่มีพัฒนาการ เรามาแป๊บนึงเราก็ออกจากวงการได้เลยนะ แต่ว่ากว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ เราก็ต้องฝ่าฟันเหมือนกัน เขาถึงจะจ้างงานเรา เนี่ยอายุจะ 40 ปีแล้ว เราก็ยังมีงานอยู่”
จะ 20 ปีแล้วในวงการบันเทิง เจอความทุกข์ยากลำบากมายังไงบ้าง? “ก็ตั้งแต่ 19 ปี ตอนนี้จะ 40 ปี ก็ประมาณ 20 ปีแล้ว มาเป็นก่อนบ่ายคลายเครียดเลย ชมพู่ ก่อนบ่ายก็เป็นที่มาของงานชิ้นแรกจ้ะ หลังจากนั้นก็มีโอกาสเล่นละคร เล่นหนัง แล้วก็ได้เล่นซิตคอม ได้เป็นพิธีกร แล้วก็ค่อยๆ ขยับไปเรื่อยๆ จนมีงานเข้ามาให้เราได้ทำสนุกสนาน ร้องไห้เยอะนะ
ตอนเข้ามาใหม่ๆ มันทำไม่ได้ มีช่วงทำไม่ได้ มีช่วงท้อ มีเหมือนแบบเรามาเป็นตัวถ่วงเขาหรือเปล่า มีปัญหาเรื่องชีวิตด้วย เรื่องธุรกิจด้วยสมัยวัยรุ่น กว่าจะผ่านอะไรมาได้จนเข้าที่เข้าทาง เราก็มานั่งจัดการบริหารชีวิตใหม่ วางแผนการเงินใหม่ มันก็ระยะหนึ่งเลยนะ กว่าจะมาถึงทุกวันนี้”
เขาบอกเราติดหรู? “ถ้ามารู้จักชมพู่จริงๆ ทุกวันนี้ฉันถือกระเป๋าหวายกับถุงผ้านะ เคยซื้อไหมแบรนด์เนม เคยซื้อ แต่อยู่ในตู้ แล้วก็ไม่ได้ใช้ รถที่ใช้ทุกคันที่บ้านก็อายุงาน 7 ปีขึ้นหมดแล้ว ตอนนี้เอาเงินไปใช้ในการท่องเที่ยวนะ
พู่เป็นคนชอบใช้เงินในการท่องเที่ยวซื้อความสุขตัวเองมากกว่า ส่วนที่เราแบ่งไว้เที่ยวก็คือส่วนที่เราเหลือเก็บ ส่วนที่เก็บเราก็เก็บลงกองทุน ซื้อทอง ลงทุนอะไรที่เงินมันงอกเงย เราก็ศึกษาข้อมูลและทำมาตั้งนานแล้ว ก็ถ้าอยู่เฉยๆ มันก็ไม่มีเงินหรอก”
สิ่งที่คนอื่นคิดกับสิ่งที่เป็น แตกต่างกันสิ้นเชิง? “แตกต่างค่ะ เราเข้าใจที่ภาพเราเป็นตลกด้วยแหละ คนจะดูถูกง่ายด้วยมั้งว่า แหม่!เป็นแค่ตลกเอง ได้เงินทองอะไรเยอะแยะมากมาย คุณ…ถ้าคุณไม่หมิ่นเงินน้อยอ่ะ เขาให้มา สิบบาท สะสมก็เป็นร้อยนะ ร้อยบาทสะสมเป็นพัน พันสะสมเป็นหมื่น หมื่นก็เป็นแสนเป็นล้านอยู่ดี
พู่ก็ทำอย่างเนี้ย ทำทุกอย่าง ไม่เคยเกี่ยงงาน งานมากงานน้อยทำ สะสมเข้าธนาคารเรื่อยๆ แบ่งเก็บ แบ่งลงทุน วันหนึ่งมันก็มีเป็นกอบเป็นกำได้โดยที่เราสามารถสร้างด้วยตัวเราเอง”
ชีวิตส่วนตัวเป็นคนประหยัด? “ประหยัดนะ ยิ่งมีลูกยิ่งประหยัดเข้าไปใหญ่เลย เมื่อก่อนอาจจะไม่ เมื่อก่อนเป็นคนหน้าใหญ่ใจใหญ่เหมือนกันชอบเลี้ยงเพื่อน ชอบซื้อของ แต่พอตั้งแต่มีลูก ก็ไม่อยากได้อะไรเลย เสื้อผ้าใหม่ก็ไม่ซื้อมา 3 ปีแล้ว ไม่ซื้อเลย ใช้เสื้อผ้ากองถ่าย กระเป๋าก็ไม่ซื้อ ของแบรนด์เนมก็ไม่ซื้อมานานแล้ว เพราะว่าเคยซื้อแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความสุขของพู่
พู่ถือถุงผ้าสวยๆ มีความสุขกว่า ไม่ต้องคอยระมัดระวังด้วย เสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างๆ เราก็ให้คอสตูมยืม เพราะซื้อมามันก็เต็มตู้ แล้วมันก็ใช้ได้ครั้งเดียว เราเป็นคนไม่ซื้อของสุรุ่ยสุร่ายมานานแล้ว แต่เงินที่หมดไปตอนนี้ก็คือของเล่นลูก และพวกของที่ต้องดูแลตัวเองทั้งหลาย ทำเล็บ ทำผม ทำทรีตเมนต์ ทำปกติอยู่แล้ว กิน เที่ยว ก็พอแล้ว”
อยากบอกอะไรกับโลกโซเชี่ยลที่มองกันที่ภายนอก แล้วคอมเมนต์ไร้มารยาท? “เราให้อภัยนะ ตั้งแต่มีลูก พู่เป็นคนเมตตามานานมากแล้วล่ะ จริงๆ ปล่อยวาง แค่อยากอธิบายให้เห็นว่าเราไม่ได้มาได้ง่ายๆ เราไม่ได้อยู่เฉยๆ แล้วเงินมันงอกขึ้นมา เราต้องอาศัยแรงกาย แรงใจ ความเหนื่อยเหมือนกัน ดังนั้นอย่ามัวแต่นั่งคิดลบ
อย่ามัวแต่นั่งอคติกับชีวิตของคนอื่น เอาเวลาเหล่านี้ไปทำงาน เลิกคอมเมนต์ด่าคนอื่น ไปทำงาน ไปหาสิว่าตัวเองมีความสามารถอะไร ไปทำธุรกิจ เก็บเงิน วางแผนการเงิน แล้ววันหนึ่งคุณก็จะมีได้เหมือนกัน ไม่ยาก(ยิ้ม)”
ทุกวันนี้ยังมีคนดูถูกจากการที่เราเป็นนักแสดงตลก? “มันก็เริ่มน้อยลงแล้วนะ เหมือนกับสังคมบูลลี่ค่อยๆ น้อยลง อีกอย่างหนึ่ง เราเป็นคนไม่เก็บมาใส่ใจมาสักพักหนึ่ง เมื่อก่อนพู่เป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์ เวลาใครด่าก็ทำไมๆ ปัจจุบันเลือกที่จะอ่าน แต่ปล่อยวางได้ง่าย อันไหนที่เขาติเกี่ยวกับการทำผิดพลาดจริงๆ ก็เอามาแก้ไข ปรับปรุง ยอมรับ พัฒนาตัวเอง
อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องใช้ไปในการทำงานวงการบันเทิงอยู่แล้ว แต่ว่าอันไหนที่อยู่ดีๆ มาด่าพ่อ ด่าแม่ ด่าลูก ด่าเรา มองเป็นเรื่องขำมากเลยอ่ะ คือไม่ใส่ใจแล้ว แล้วเราเป็นคนคิดบวกด้วยแหละ พอเจออย่างนี้ก็คือเป็นพลังให้ฉัน
ฉันจะไม่ทำแบบนี้กับใคร จะไม่ไปด่าใคร จะไปสอนลูกหลานด้วย อย่าไปทำแบบนี้กับใครนะลูกมันดูไม่น่ารัก เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ไปช่วยเหลือคน ไปกตัญญูพ่อแม่ เอาเวลาไปเก็บเกี่ยวความสุขในทุกๆ วินาทีดีกว่า”