ถ้าหากคุณเป็นแฟนบอล ลิเวอร์พูล … คุณคาดหวังอะไรบ้างจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ?
คิดแบบเร็ว ๆ ผมอยากเห็นบรรยากาศในห้องแต่งตัว ช็อตคำรามแยกเขี้ยวใส่นักเตะของ เยอร์เกน คล็อปป์ ปลุกเร้าในเกมยากลำบากกลับมาชนะได้ แบบเอ็กซ์คลูซีฟไปเลย
เหตุผล คือ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลิเวอร์พูล เจอ เรดบูล ซัลซ์บวร์ก แล้วช่วงนั้นทีมดังออสเตรียมีถ่ายทำสารคดี เผยทุกคำของกุนซือ เจสซี่ มาร์ช พอคล็อปป์ได้เห็น จึงบอกสั้น ๆ ว่า ถ้าสโมสรปล่อยให้เผยแพร่ภาพแบบนี้ ผมคงต้องลาออก !
แค่อยากรู้ครับว่า พอต้องมาโดนเปิดเผยจริง ๆ เจเคจะรู้สึกอย่างไร ?
คำตอบคือ … ไม่มีครับ ไม่มีซีนอารมณ์ห้องแต่งตัวระหว่างแข่งขัน ยอมรับว่าผิดคาดเล็กน้อย เพียงแค่สิ่งได้รับมา ผมถือว่าเกินคาด
The End of The Storm คือเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ลิเวอร์พูล รำลึกถึงความรู้สึกคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี
เจมส์ เออร์สคีน (The Ice King, Billie, One Night in Turin, Le Mans: Racing is Everything) ในฐานะผู้กำกับ ร่ายเรียงเรียบง่ายทว่ามีประสิทธิภาพ
การเล่าเรื่องมีสไตล์ของตัวเอง ฉับไว โฉบเฉี่ยว แถมมีกิมมิคเล็ก ๆ คือใช้ตัวการ์ตูนดำเนินเรื่องในบางช่วงบางตอน เพิ่มมิติมากขึ้น
แน่นอนครับ เยอร์เกน คล็อปป์ คือพระเอก บทสัมภาษณ์ทรงพลังช่วยปลุกให้คุณอยากลุกขึ้นสู้เดี๋ยวนั้นด้วยซ้ำ แถมหลายประเด็นยังเจาะถึงความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความคิดความอ่านสุดลึกล้ำ
แค่ซีนแรกโผล่ออกมา บอกไว้ก่อนครับ ใครใจไม่แกร่งพอ ร้องไห้ตามเอาง่าย ๆ
เจเคย้ำเสมอว่าเขาไม่ใช่คนเก่ง ฉะนั้นต้องหาคนเก่ง ๆ มาอยู่รอบตัวเพื่อเดินหน้าบรรลุเป้าหมาย แต่สิ่งพิเศษ คือ เขาเก่งในการพาคนเหล่านั้นมารวมตัวกันได้
เรื่องราวครอบครัวจาก “ป่าดำ” เขากับคุณพ่อมีเวลาด้วยกันน้อยเกินไป ไม่ค่อยพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ช็อตนี้ใคร “อิน” เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชาย คงเหมือนเรานั่งดูชีวิตตัวเอง
ไม่ยอมคุยกัน แอ็คท่าใส่กัน ทั้ง ๆ รู้ว่าต่างคนต่างหวังดี แต่อีโก้จัดเหลือเกิน สุดท้ายในวันประสบความสำเร็จ พ่อไม่อยู่แล้ว !
ถ้าจำไม่ผิด แววตาคล็อปป์มีน้ำตารื้นออกมา
เราได้เห็นบทสัมภาษณ์อีกหลายคนอันแสนธรรมดาสุดวิเศษ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ฝ่าฟันจากวันแรกถึงวันชูถ้วยอย่างไร
โดนตัดสิน, โดนวิจารณ์, โดนเหมารวมว่าไม่ดีพอ ทว่าสุดท้ายคนมอบถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ คือ คนซื้อตัวเขามาจากซันเดอร์แลนด์
บ๊อบบี้ ฟีร์มีโน่, อลีสซง เบ็คเกอร์ คู่หูแซมบ้าผู้พลิกอารมณ์ร่วมให้ทีมมุ่งมั่นเอาแชมป์สโมสรโลกให้ได้ ทั้ง ๆ ก่อนหน้านี้ แทบไม่มีใครสนใจถ้วยกลางซีซั่นด้วยซ้ำ
เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค แสดงความเป็นผู้นำในทีมยังไง จึงได้รับเสียงชื่นชม หรือ ซาดิโอ มาเน่ เหงาแค่ไหน เพราะไม่มีเมีย !
บทสัมภาษณ์ทุกคน ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ ด้วยภาษาตัวเอง ตรงนี้ยอมรับครับว่าเจ๋งจริง เจมส์ เออร์สคีน บอกว่า เขาตั้งใจให้ทุกคนพูดภาษาตัวเอง เพื่อให้ได้ความรู้สึกที่แท้จริง โชคดีที่โปรดิวเซอร์เรื่องนี้คือ เรเชล แรมซีย์ พูดได้ทั้ง อังกฤษ, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส
การดำเนินเรื่อง เต็มไปด้วยอุปสรรค โดยเฉพาะประเด็นโคโรนาไวรัส เล่นงานโลกของเราอย่างหนักหน่วง ทีมงานเจอผลกระทบทั้งหมด โปรแกรมถ่ายทำยกเลิก, ตัวละครแฟนบอลเปลี่ยนกลางคัน แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเต็มไปหมด
มันสื่อถึง “มรสุม” คล้ายคลึงกับช่วงลิเวอร์พูลเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จชิ้นโต ในสนามฟุตบอลว่ายากแล้ว นอกสนามยากไม่แพ้กัน
อีกอย่างที่ผมชอบคือ ซับภาษาไทย แปลได้ถึงอารมณ์แฟนบอลเหลือเกิน รู้เลยว่าละเอียดแค่ไหน เพราะคุณไม่มีทางเจอคำแปลอย่าง “ร็อบโบ้แม่งกาก” หรือ “ร็อบโบ้โคตรดีดทั้งเกม” ในหนังฟุตบอลอื่นแน่ ๆ
เสน่ห์หนังเรื่องนี้ คือความจริงเหล่านี้ครับ
ความจริงแม้เรารู้จุดลงเอยด้วยความสำเร็จ กระนั้นระหว่างทางพวกเขากอดคอเดินลุยมาด้วยกันอย่างไร ระหว่างเจอคำสั่งล็อกดาวน์ ทุกคนเยียวยาจิตใจซึ่งกันและกันมากแค่ไหน
หรือแม้แต่จิตวิทยาจากนักโต้คลื่นระดับโลก มีผลต่อทีมลิเวอร์พูลขนาดนั้นเชียวหรือ ?
ว่ากันในนามคนดูหนังทั่วไป จริง ๆ มันไม่ใช่หนังฟุตบอล หรือ สารคดีกีฬาด้วยซ้ำ แต่มันคือหนังชีวิตของทุกคนครับ
ชีวิตที่เคยฝ่าฟันอุปสรรค, ชีวิตที่เชิดหน้าสู้ในวันห่วยแตก, ชีวิตที่ล้มเหลวเพื่อกลับมาสำเร็จ
และระหว่างทางนั้น ทุกชีวิตไม่เคยเดินเดียวดาย
ส่วนถ้าจะว่าด้วยความเป็นแฟนลิเวอร์พูล คำถามพวกควรดูรึเปล่า ? และมันน่าดูแค่ไหน ? อันนี้ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย
คำตอบสำหรับผมคือ เดอะ ค็อป “ต้อง” ดูเรื่องนี้
แต่เหนือสิ่งอื่นใด … มัน คือ หนังที่ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนฟุตบอล แต่อยากได้แรงบันดาลใจในชีวิต
ภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณต้องดู !