จากดาวรุ่ง สู้ไร้ทีมเล่น : คำสาปวันเดอร์คิดที่ทำให้ "แจ็ค วิลเชียร์" หมดสภาพ

Home » จากดาวรุ่ง สู้ไร้ทีมเล่น : คำสาปวันเดอร์คิดที่ทำให้ "แจ็ค วิลเชียร์" หมดสภาพ
จากดาวรุ่ง สู้ไร้ทีมเล่น : คำสาปวันเดอร์คิดที่ทำให้ "แจ็ค วิลเชียร์" หมดสภาพ

“ทำไมถึงไม่มีสโมสรไหนอยากเซ็นสัญญากับคุณ ?” เป็นคำถามของ เดวิด ออร์นสตีน เหยี่ยวข่าวเบอร์ 1 ของสาย อาร์เซน่อล แห่ง The Athletic ที่ถามกับหนึ่งในนักเตะอังกฤษที่ดีที่สุด … ในอดีต “แจ็ค วิลเชียร์”

และเขากำลังจะตอบว่า “ทำไม ?” 

นี่คือเรื่องราวตั้งแต่วันเริ่มต้นของแข้งเยาวชนผู้ไม่เคยกลัวใคร สู่วันที่เขาอายุย่าง 30 และไม่มีทีมไหนสนใจและกล้ามอบสัญญาให้อีกแล้ว จนแม้แต่ลูกของเขายังถามว่า “ทำไมถึงไม่มีทีมไหนอยากได้พ่อ ?”

 

ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่ Main Stand

Back To The Future

“ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในจุดนี้ได้เลย ทุกครั้งที่คุยกับคนอื่น ๆ ผมบอกพวกเขาเสมอว่า ช่วงเวลาที่ตัวเองอายุ 28-29 ปี มันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลของผม เป็นแนวหน้าของทีมชาติอังกฤษและเล่นกับสโมสรระดับหัวแถว นั่นคือทางของผมเสมอมา” 

แจ็ค วิลเชียร์ ในวัย 29 ปี ตอบเช่นนั้น และภาพในอดีตก็ย้อนเข้ามาในหัวทันที เรื่องราวของ “ซูเปอร์แจ็ค” นักเตะวันเดอร์คิดผู้ถูกเรียกว่าจะเป็น อันเดรส อิเนียสต้า แห่งเกาะอังกฤษ ที่ปัจจุบันไม่มีสโมสรอยู่ มันชัดเจนว่าทำไมเขาเองจึงไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะต้องมาลงเอยกับเส้นทางชีวิตค้าแข้งแบบนี้ เพราะใครก็ตามที่เคยเห็น วิลเชียร์ ในสมัยวัยรุ่นเล่นอยู่คงรู้ดีว่า นี่คือนักเตะดาวรุ่งที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่ง

 

“เขาได้แสดงระดับความสามารถอย่างสูงส่ง ลงเล่นอย่างสงบ และพร้อมรับการท้าทายอย่างเหลือเชื่อ ในวัยหนุ่มขนาดนั้น เราคงไม่กล้าสงสัยอะไรในความสามารถของเขาอีก” มาร์ติน ไทเลอร์ ผู้บรรยายจาก Sky Sports กล่าวถึง วิลเชียร์ ตอนอายุ 18 ปี 

วิลเชียร์ โตมากับระบบอคาเดมีของ อาร์เซน่อล เขาเก่งเกินเด็กมาตั้งรุ่นอายุ 14 ปี ก่อนจะได้รับการโปรโมตจาก อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของทีมชุดใหญ่ในเวลานั้น ส่งลงสนามในเกมลีกคัพตั้งแต่อายุ 16 ปี เมื่อทุกคนได้เห็นเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้สามารถแบกอายุได้แน่นอน มันทำให้แฟนอาร์เซน่อลเห็นภาพของ เชส ฟาเบรกาส ที่โดน อาร์แซน เวนเกอร์ ใช้งานตั้งแต่รุ่นราวคราวเดียวกัน ก่อนเติบโตเป็นกองกลางระดับโลกในเวลาต่อมา 

เวนเกอร์ ค่อย ๆ ใส่เกมระดับสูงให้กับ วิลเชียร์ ทีละนิด ๆ เขาลงเล่นไป 8 นัดในซีซั่นแรก ฤดูกาล 2008-09 และมากกว่านั้นอีกนิดในซีซั่นต่อมา ฤดูกาล 2009-10 จนกระทั่งเขาอายุ 18 ปี เป็นหนุ่มเต็มตัว วิลเชียร์ ก็ถูกส่งไปอยู่กับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ทีมระดับกลางค่อนล่างของพรีเมียร์ลีกในช่วงตลาดฤดูหนาว และนั่นคือการย้ายทีมที่พิสูจน์ให้ เวนเกอร์ เห็นว่า เขาไม่จำเป็นต้องได้รับการประคบประหงมอีกแล้ว เพราะนอกจากทักษะในการเล่น เขายังมีแนวคิด หัวจิตหัวใจ และความเข้าใจเกมในระดับสูงมาตั้งแต่ตอนนั้น 

วิลเชียร์ ลงเล่นให้กับ โบลตัน แบบยืมตัวไปแค่ 14 เกมในพรีเมียร์ลีก และนั่นคือฟอร์มที่แฟน ๆ ของ โบลตัน ไม่มีวันลืม ถ้าเป็นเรื่องของการยิงประตูอาจจะยังไม่เห็นภาพนัก แต่ถ้าใครได้เห็นการปรับตัวของนักเตะอายุ 18 ปี กับทีมที่เล่นฟุตบอลต่างกันไปแบบสิ้นเชิงกับ อาร์เซน่อล คุณจะเข้าใจได้ว่า วิลเชียร์ เป็นเด็กที่ซึมซับอะไรได้ดีแค่ไหน 

เมื่อต้องเล่นเป็นกองกลางให้กับ โบลตัน เขาจะต้องวิ่งไล่บอลเยอะมาก กว่าได้ครอบครองบอล เขาจะต้องเล่นลูกกลางอากาศได้ และต้องมีความห้าวในการไล่บดกับกองกลางเบอร์ใหญ่กว่าของสโมสรอื่น ๆ ซึ่ง วิลเชียร์ ก็ทำได้ทุกอย่าง … เขาคือกองกลางตำแหน่งหมายเลข 10 ที่วิ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของทีม 1 ประตูกับ โบลตัน ที่เขายิงได้คือการทำประตูด้วยลูกโหม่ง และคุณจะเอาอะไรมากไปกว่านั้นได้อีก เมื่อเขาพา โบลตัน ไปอยู่ครึ่งบนของตารางได้ในช่วงเวลาหนึ่ง 

 

ฝั่ง อาร์เซน่อล ก็เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องที่ควร วิลเชียร์ ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขาใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องรอปรับกระดูกบอล และนั่นทำให้เกิดการถกเถียงกันเล็กน้อย เมื่อ โอเว่น คอยล์ กุนซือของ โบลตัน ในเวลานั้น พยายามจะบอกกับ เวนเกอร์ ว่า หากให้เวลา วิลเชียร์ อีก 6 เดือนหรือ 1 ปีที่ โบลตัน เขาจะสมบูรณ์แบบและพร้อมใช้งานได้มากยิ่งกว่าที่ เวนเกอร์ คิด แต่คำตอบของ เวนเกอร์ ชัดเจน ทีมของเขาต้องการนักเตะแดนกลางมาหมุนเวียน ดังนั้น วิลเชียร์ จึงกลับมาที่ อาร์เซน่อล หลังสิ้นสุดสัญญายืมตัว 

ทว่าก่อนที่เขาจะกลับ โอเว่น คอยล์ ทิ้ง 1 ประโยคสำคัญที่ ณ ตอนนั้นอาจจะยังไม่มีใครสนใจว่า “การย้ายกลับ อาร์เซน่อล จะเป็นความคิดที่ผิดพลาดของทั้ง วิลเชียร์ และ อาร์เซน่อล … เขารู้ดีว่ามันจะดีกับเขาแน่นอนหากเขาได้เล่นกับเราอีกสัก 6 เดือนหรือ 1 ซีซั่น ถึงตอนนั้นเขาจะกลับไปที่นั่นแบบยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นอีก”

“ที่ผมจะบอกคือ หาก อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่คิดว่าจะใช้งานเขาในฐานะนักเตะตัวหลักที่ได้ออกสตาร์ตในทุกสัปดาห์ เขาควรให้เวลาผมกับวิลเชียร์อีกสัก 6 เดือน ผมขอถึงเดือนมกราคมก็พอ และเมื่อถึงเวลาที่ผมคืนตัวเขากลับ ทุกคนจะได้เห็นว่าเขาเก่งขึ้นขนาดไหน” คอยล์ กล่าวเช่นนั้นแต่มันก็ไม่เปลี่ยนอะไร แจ็ค วิลเชียร์ กลับไปเป็นนักเตะของ อาร์เซน่อล แล้ว และการเดินทางอันยาวไกลก็เริ่มขึ้น พร้อม ๆ กับสิ่งที่เรียกว่า “คำสาปของวันเดอร์คิด”

คำสาป “วันเดอร์คิด” 

การกลับมา อาร์เซน่อล รอบนี้ วิลเชียร์ สวมเสื้อหมายเลข 19 และยึดตัวหลักของทีมได้ในทันที ซีซั่น 2010-11 วิลเชียร์ ได้ลงเล่นเกมลีกไปทั้งหมด 35 นัด นาทีนั้นมันชัดเจนแล้วว่า อาร์เซน่อล กำลังจะได้กัปตันทีมคนใหม่ที่เป็นลูกหม้อของสโมสรในรอบหลายปี ทว่าใครจะรู้ว่า นั่นคือปีที่ดีที่สุดของเขาในชีวิตการค้าแข้ง 

“เขาแตกต่างกับนักเตะที่ผมเคยร่วมงานด้วย เลี้ยงบอลเก่งกว่า เชส ฟาเบรกาส ส่วนในเรื่องของการจ่ายบอลก็แตกต่าง แจ็ค ชอบจ่ายบอลแบบไดเรกต์และเปลี่ยนเกมได้หลากหลายทิศทาง ขณะที่ เชส แม่นยำและช่ำชองเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากพวกเขาได้เล่นด้วยกัน มันคงเป็นอะไรที่เหนือจินตนาการ”

“เด็กคนนี้ไม่กลัวความท้าทาย เขามีคาแร็กเตอร์ที่ชอบเล่นเกมหนัก ๆ เขาปรับตัวได้เก่งไม่ว่าจะเล่นที่ไหนและกับใคร เขาเล่นได้ทั้ง 3 ตัวหลังกองหน้า หรือจะเป็นกองกลางก็ได้ทั้งนั้น” นี่คือคำพูดของ เวนเกอร์ 

วิลเชียร์ เป็นนักเตะที่ เวนเกอร์ ให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลังจากจบฤดูกาล 2010-11 เขายิ่งดูนิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นทั้ง ๆ ที่อายุแค่ 19 ปีเท่านั้น เวนเกอร์ วาดภาพไปไกลตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่เรื่องจริงนั้นทุกคนจะรู้ดี … น่าเสียดายที่ซีซั่นที่ดีที่สุดมันเกิดขึ้นตอนที่เขาอายุ 19 ปี ไม่ใช่ 29-30 ปี เหมือนกับนักเตะคนอื่น ๆ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย

 

ปัญหาของนักเตะดาวรุ่งระดับวันเดอร์คิดมีอยู่ 3 แบบ มันเป็นเหมือน 3 คำสาปที่ใครก็จะต้องเจอและก้าวข้ามมันไปให้ได้ เมื่อพวกเขาเก่งมาก ๆ ได้แก่ 

1. พวกเขาจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพและร่างกายเหมือนกับที่ แฮร์รี่ คีเวลล์ และ ไมเคิล โอเว่น เป็น 

2. พวกเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับชีวิตนอกสนาม อาทิ พอล แกสคอยน์, ลี ชาร์ป และ ไมเคิล จอห์นสัน 

3. พวกเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับทัศนคติในการขยับจากยอดนักเตะเยาวชนเป็นนักเตะระดับโลก เช่น ราเวล มอร์ริสัน, มาริโอ บาโลเตลลี่ และ อาเต็ม เบน อาร์กฟา เป็นต้น 

สำหรับ แจ็ค วิลเชียร์ ไม่ว่าจะข้อไหน ๆ เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น … แค่คำสาปเดียวก็แย่แล้ว แต่ ซูเปอร์แจ็ค เหมาเรียบ และมันเป็นเหตุผลว่าทำไมในวัย 29 ปี เขายังต้องหาสโมสรลงเล่นเช่นนี้

 

ปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก … มันเริ่มขึ้นหลังจากฤดูกาลที่ดีที่สุดของเขานั่นแหละ หลังจากลงเล่นไป 35 เกมลีก 49 เกมทุกรายการในซีซั่น 2010-11 ฤดูกาล 2011-12 วิลเชียร์ เจ็บยาวทั้งฤดูกาล และหายไป 1 ปีเต็ม ๆ โดยไม่ได้ลงเล่นเลยแม้แต่เกมเดียว หลังจากนั้นการกลับมาของเขาก็ไม่เหมือนเดิม 

เราไม่รู้ว่าเขาไปเจอกับอะไรมาบ้าง แต่ความพิเศษของ วิลเชียร์ ขาดหายไป อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่สามารถไปถึงระดับนักเตะที่ชี้ขาดผลการแข่งขันได้ และนับวันยิ่งห่างไกลจากจุดนั้นออกไปเรื่อย ๆ เพราะอาการบาดเจ็บไม่เคยหายขาด เขายังคงประสบพบเจอกับมันอยู่แทบจะทุกเดือน แฟน ๆ ของ อาร์เซน่อล รู้ดีว่าสำหรับ วิลเชียร์ แทบจะต้องลุ้นกันสัปดาห์ต่อสัปดาห์ว่าจะพร้อมใช้งานหรือไม่

การเป็นคนเคยสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ทำใจได้ยากยิ่ง แจ็ค วิลเชียร์ ได้ทุกอย่างตอนที่เขาอยู่ในวัยทีนเอจ แต่สิ่งเหล่านั้นหายไปแล้วเมื่อก้าวพ้นสู่วัยผู้ใหญ่ และปัญหานี้มันเริ่มนำมาสู่ปัญหาที่ 2 คือ ทัศนคติในการใช้ชีวิต ซึ่งส่งผลอย่างมากในระดับที่เขาต้องพูดว่า หากย้อนกลับไปได้เขาคงไม่ทำเช่นนั้นเป็นครั้งที่ 2 

แจ็ค วิลเชียร์ รู้จักกันดีในฐานะนักเตะหนุ่มเจ้าสำราญ เขาใช้ชีวิตเอ็นจอยกับการดื่ม เขาสูบบุหรี่และมีภาพหลุดออกมาบ่อย ๆ เรื่องแบบนี้คือสิ่งที่นักเตะอาชีพต้องเสียสละ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ … โรนัลโด้ ใช้งานร่างกายอย่างหนักในเกมพรีเมียร์ลีกตั้งแต่อายุ 18 ปี ตอนนี้เขาอายุ 36 ปีแล้ว แต่ก็ยังเล่นในระดับท็อปด้วยความเก่งที่ไม่มีทีท่าจะลดลง โรนัลโด้ ไม่แตะเหล้า เบียร์ บุหรี่ ไม่แม้แต่โค้ก … ขณะที่ วิลเชียร์ คือสิงห์อมควันตัวพ่อ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นความต่างได้ชัดเจนแล้ว เขาไม่ได้แค่โชคร้ายบาดเจ็บ แต่การวางตัวนอกสนามของเขาก็มีส่วนที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นด้วย 

เมื่อเจ็บบ่อย และยังใช้ชีวิตนอกสนามไม่ดี มันจึงนำมาสู่ทัศนคติในการเล่นที่ถดถอยตามลงไป วิลเชียร์ เติบโตขึ้นด้วยพัฒนาการที่สวนทางสุดขีด เมื่ออายุมากขึ้นความสามารถกลับลดลง ยิ่งเล่นยิ่งหาย ทุกปัญหาส่งต่อกันหมด และยิ่งเมื่อทำมันซ้ำ ๆ ก็ยิ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาเลิกสูบบุหรี่หรือยัง แต่ภาพล่าสุดที่เห็นเขาสูบบุหรี่คือตอนที่เขาอายุ 25 ปี … แต่แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เด็กแล้ว ถ้าเขาเลือกจะทำเช่นนั้นก็ต้องรับกับสิ่งที่ตามมาให้ได้ 

อาร์เซน่อล ไม่ได้ต้องการเขามากเหมือนกับตอนที่เขาเป็นหนุ่มอีกแล้ว หลังจากจบซีซั่น 2015-16 อาร์แซน เวนเกอร์ บอกว่าเขาสามารถย้ายทีมได้ เพราะการลงสนามน้อยลงทุกปี ๆ จากอาการบาดเจ็บรวมทั้งหมดที่ถูกบันทึกไว้ที่ 25 ครั้ง … มากเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย 

การโดนปล่อยให้กับ บอร์นมัธ ยืมตัวในฤดูกาล 2016-17 คือจุดเปลี่ยนและการยอมรับความจริงของ วิลเชียร์ เขาไม่ได้พิเศษ และมันแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้เขาจะโยนสิ่งไม่ดีรอบตัวทิ้งไปทั้งหมดและโฟกัสกับฟุตบอลอีกครั้งในวัย 26 ปี … ความจริงคือโลกของนักเตะอาชีพนั้นโหดร้าย หากคุณกำลังถดถอย ก็จะมีอีกคนขึ้นมาแทนที่ ไม่มีใครใหญ่ค้ำฟ้า ในอาชีพที่ทำเงินระยะสั้นแบบนี้ โอกาสจะผ่านมาและผ่านไป หากคว้าไม่ได้ทุกอย่างก็จบ 

วิลเชียร์ รู้ดีสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีปีไหนที่เขาไม่ได้รับอาการบาดเจ็บ ไม่มีปีไหนที่เขากลับมาเล่นได้ในแบบที่เคยทำได้ตอนอายุ 19 ปี … ไม่แม้แต่ใกล้เคียง ทั้งกับการเล่นให้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ บอร์นมัธ คำรบสอง ตอนนี้เขาอายุ 29 ปีแล้ว และพยายามหาทีมอยู่ นั่นแหละความจริงที่โหดร้ายที่สุด

29 ปี กับโอกาสที่ไม่เคยย้อนกลับ

ในตลาดซื้อขายซัมเมอร์ฤดูกาล 2021-22 ที่ร้อนแรง การย้ายทีมของ ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ บอกให้เรารู้ว่านักเตะอายุเยอะไม่ได้ไร้ค่าเสมอไป หากรักษาระดับการเล่นไว้ได้ พวกเขาจะยังคงเป็นที่ต้องการเสมอ … แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ วิลเชียร์ ที่พยายามหาทีมอยู่ แต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงกับเขาอีกแล้ว 

“ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในจุดนี้ได้เลย ทุกครั้งที่คุยกับคนอื่น ๆ ผมบอกพวกเขาเสมอว่า ช่วงเวลาที่ตัวเองอายุ 28-29 ปี มันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลของผม เป็นแนวหน้าของทีมชาติอังกฤษและเล่นกับสโมสรระดับหัวแถว นั่นคือทางของผมเสมอมา” เขาสัมภาษณ์กับ เดวิด ออร์นสตีน ในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายที่สายโทรศัพท์ของเขาว่างเปล่า ไม่มีใครโทรเข้ามาเลย 

เขายิ้มในการสัมภาษณ์ แต่แววตานั้นเศร้าหมอง เขาเล่าถึงเรื่องราวของการตกสวรรค์ครั้งนี้ว่ามีผลกระทบขนาดไหน ลูก ๆ ของเขาโดนเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนล้อว่า “พ่อของนายคือ แจ็ค วีลแชร์ (รถเข็นสำหรับคนเดินไม่ได้)” ซึ่งนั่นรบกวนจิตใจเขาไม่น้อย 

“ลูก ๆ ของผมเริ่มโตและเริ่มเข้าใจอะไรได้ อาร์ชี่ (ลูกชายคนโตจากลูกทั้งหมด 4 คน) อายุ 9 ขวบแล้ว เขาบอกให้ผมไปเล่นในเมเจอร์ลีก หรือไปลองเล่นในลีกอื่น ๆ ก่อนจะถามผมกลับว่า แล้วทำไมทีมไหน ๆ ก็ไม่อยากจะได้ตัวพ่อเลย … ผมตอบคำถามเขาไม่ได้ เพราะผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี” 

วิลเชียร์ รำลึกความหลังถึงสิ่งที่เขาเสียใจที่สุดในการย้ายทีมและไม่ต่อสัญญากับ อาร์เซน่อล ตอนนั้นทีมมีการเปลี่ยนเแปลง อูไน เอเมรี่ เข้ามาคุมทีม และบอกกับเขาว่าจะมอบสัญญาให้ แต่เขาจะไม่ได้เป็นคนสำคัญของทีมอีกแล้ว ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ปัญหาอาการบาดเจ็บ การใช้ชีวิต และทัศนคติของความเป็นมืออาชีพของ ซูเปอร์แจ็ค ล้มลงเป็นโดมิโน่แล้ว เขาปฏิเสธและย้ายออกไป นั่นคือสิ่งที่เขาคิดว่าผิดพลาดที่สุด

“เอเมรี่ บอกว่าสัญญาของผมอยู่บนโต๊ะ แต่ผมจะไม่ได้เป็น 11 ตัวจริงของเขานะ ผมจำได้ว่าผมเดินออกจากห้องด้วยความโกรธเพราะคิดว่าตัวเองจะต้องได้ออกสตาร์ต ผมทำผลงานได้ดีเมื่อปีก่อน ผมโทรหาเอเยนต์และขอย้ายออกด้วยความหุนหัน และมันลงเอยแบบทุกวันนี้” วิลเชียร์ กล่าว

สุดท้ายคำถามของ ออร์นสตีน คือ “แล้วมันยุติธรรมไหมสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาชีพของคุณ ?” แจ็ค วิลเชียร์ เงียบและตอบกลับว่า “ใช่ ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้น” 

“เมื่อก่อนผมอยู่กับทีม ลงซ้อมทุกวัน และตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่แตกต่างอะไรต่อให้ไม่ได้ลงเล่น ความจริงมันควรเป็นแนวคิดที่ว่า ไม่ ๆ วันนี้ฉันจะต้องซ้อมให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้โอกาสของตัวเองกลับมา ผมต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าผมพร้อมมากสำหรับเกมสุดสัปดาห์ … น่าเศร้าที่ผมคิดได้แต่ทำไม่ได้ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย”

“ผมตื่นนอนและคิดว่าต้องไปซ้อมตามหน้าที่ และตอนนี้มันทำให้ผมต้องมาถามกับตัวเองอยู่ทุกวันว่า ผมทำไปเพื่ออะไรกัน ?” 

ณ เวลาที่คุณอ่านบทความนี้อยู่ แจ็ค วิลเชียร์ ยังคงพยายามหาสโมสรใหม่ของเขา ยิ่งเวลาผ่านไปอดีตก็กลายเป็นบทเรียนที่มีค่า ความเสียใจตกผลึกเป็นเรื่องราวที่สอนให้เขารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำสำหรับนักเตะอาชีพ แม้ว่าที่สุดแล้วเขาจะไม่สามารถแก้ไขมันได้ก็ตาม

“เราอาจจะรอจนถึงเดือนมกราคมเพื่อทีมใหม่ … ผมก็คงต้องหาต่อไป ลองพยายามอีกครั้ง แม้จะรู้สึกว่ามันเสียเวลาเปล่าก็ตาม” ซูเปอร์แจ็ค กล่าวทิ้งท้าย 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ