จากความเชื่อมั่นว่าความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก สู่พันธสัญญาปี 2030 “L’ORÉAL FOR THE FUTURE”

Home » จากความเชื่อมั่นว่าความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก สู่พันธสัญญาปี 2030 “L’ORÉAL FOR THE FUTURE”
จากความเชื่อมั่นว่าความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก สู่พันธสัญญาปี 2030 “L’ORÉAL FOR THE FUTURE”

ด้วยความเชื่อมั่นว่า “ความงามมีพลังในการขับเคลื่อนโลก Create the Beauty that Moves the World” ลอรีอัล กรุ๊ป จึงได้กำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “L’ORÉAL FOR THE FUTURE” พันธสัญญาล่าสุดสำหรับปี 2030 มุ่งยกระดับเร่งการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโดยคำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลกเป็นที่ตั้ง ซึ่งได้เริ่มต้นและปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายในการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การทำงานต้นน้ำถึงปลายน้ำของการผลิตผลิตภัณฑ์ทุกแบรนด์ในเครือ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจากวัสดุรีไซเคิล ใช้ระบบพลังงานหมุนเวียน ไปพร้อมๆ กับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ นอกจากนั้นทุกแบรนด์ในเครือลอรีอัล ยังไม่ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์กับสัตว์มาตั้งแต่ปี 1989 แล้ว โดยได้ทำการบุกเบิกทางเลือกใหม่ๆ ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลกได้อย่างแท้จริง

ลอรีอัลตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน

แม้ว่าผลิตภัณฑ์ในเครือลอรีอัล จะไม่ได้มีตราประทับความเป็น Green / Clean Beauty แต่เครือลอรีอัล ได้ให้ความสำคัญของการเคารพใน “ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก (Planetary Boundaries)” หรือขีดจำกัดที่โลกสามารถรับไหว โดยตั้งเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Science Based Targets) ปรับแนวทางการบริหารจัดการ การผลิต ออกแบบสูตรและบรรจุภัณฑ์บนพื้นฐานของความยั่งยืนมาอย่างยาวนาน

  • ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงาน และศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทได้ถึง 81% ซึ่งทำได้มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 60% ภายในปี 2020
  • ในปี 2013 ลอรีอัลตัดสินใจตั้งเป้า “ความยั่งยืน” ตลอดห่วงโซ่คุณค่ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงาม
  • ในปี 2020 นั้น 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่หรือผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ ได้รับการปรับปรุงให้มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ดีขึ้น
  • ลอรีอัล เป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ได้รับคะแนนระดับ “AAA” ในการจัดอันดับทั้งสามด้านของ CDP เป็นระยะเวลา 8 ปีติดต่อกัน ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้

สร้างนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ลอรีอัลเริ่มออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2007 ทุ่มเทเวลาเกือบ 15 ปี เพื่อทำให้ฟุตพริ้นท์ทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ลดน้อยลง เช่น การปรับให้มีน้ำหนักเบาเพื่อลดการใช้ทรัพยากร เปลี่ยนมาใช้วัสดุที่มาจากการนำกลับมาหมุนเวียน คิดค้นการทำบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ อาทิ ขวดน้ำหอมที่เติมใหม่ได้ พัฒนาการใช้งานแบบแบบรีฟิลสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงผิว และออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้

โดยทีมงานของลอรีอัลได้สร้างเครื่องมือ Sustainable Product Optimization Tool (SPOT) ขึ้น โดยใช้ SPOT ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ และยังสามารถนำมาใช้สำหรับจำลองการออกแบบในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมไปถึงระบุส่วนที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขหาปริมาณการลดลงของผลกระทบในทุก ๆ ด้านของผลิตภัณฑ์

ใช้วัสดุรีไซเคิล ลดความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ ใช้วัสดุจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนใหม่ได้แทนวัตถุดิบอื่น ๆ เมื่อสามารถทำได้ ทำให้ภาชนะบรรจุและบรรจุภัณฑ์สามารถเติมใหม่ได้ เพื่อจำกัดการใช้ภาชนะเพียงครั้งเดียว

  • 97% ของผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ในปี 2022 มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
  • 100% ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ในปี 2022 ได้ผ่านการประเมินผลโดยใช้ SPOT
  • ในปี 2022 98%ของกระดาษที่ใช้สำหรับใบปลิวผลิตภัณฑ์และ 99% ของกระดาษที่ใช้สำหรับกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ ได้รับการรับรองว่ามาจากป่าไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน
  • ในปี 2023 – 26% ของพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์มาจากการรีไซเคิลหรือแหล่งวัตถุดิบชีวภาพ
  • ในปี 2023 – 85% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติก PET ที่ลอรีอัลใช้ทั่วโลกในปี 2023 มาจากการรีไซเคิล 100%

ภายในปี 2030

  • ลดปริมาณความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ลง 20% เมื่อเทียบกับปี 2019
  • ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ลอรีอัลมีบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100% และสามารถไปรีไซเคิลได้ 100% อาทิ ขวดแชมพู Elsève จากลอรีอัล ปารีส ขวดไมเซล่าวอเตอร์ จากการ์นิเย่ ขวดคาเลนดูล่าโทนเนอร์ จากคีลส์
  • ภายในปี 2025 บรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด 100% จะสามารถใช้ในการเติมซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ นำไปรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
  • หลอดบรรจุ Pure Shots Light Up Serum ของ YSL ทั้ง 4 สูตร สามารถนำมาบรรจุในขวดใสเดียวกันได้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนี้ยังสามารถช่วยประหยัดทรัพยากรเมื่อเทียบกับการผลิตขวดที่ไม่สามารถเติมได้ จากการใช้ภาชนะบรรจุ 1 ชิ้นกับรีฟิล 3 ส่วนแทนการใช้ 4 ขวด ทำให้น้ำหนักรวมของบรรจุภัณฑ์ลดลงถึง 52%
  • ในเดือนพฤษภาคม 2020 ลอรีอัลเปิดตัวนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ที่มีการนำกระดาษแข็งมาใช้ และสามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกได้มากกว่าหลอดบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วไป โดยในปี 2022 มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และหลอดรุ่นที่ 2 สำหรับแบรนด์La Roche-Posay ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งลดปริมาณการใช้พลาสติดลงถึง 75% เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์แบบหลอดมาตรฐาน

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/group/about-loreal/our-purpose/reducing-plastic-packaging/

การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

สำหรับลอรีอัล น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทั้งในกระบวนการผลิตและในการใช้ผลิตภัณฑ์  โดยโรงงาน 5 แห่งเป็น “โรงงานระบบน้ำแบบหมุนเวียน” กล่าวคือ น้ำทั้งหมดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจะถูกนำมาบำบัด รีไซเคิล และวนกลับมาใช้ใหม่ ได้แก่ โรงงานที่ Burgos (สเปน), Libramont (เบลเยียม), Vichy, Rambouille และ Aulnay (ฝรั่งเศส)

ภายในปี 2030

  • ลอรีอัลมีการตั้งเป้าหมายว่าจะประเมินสูตรผลิตภัณฑ์ทุกสูตรด้วยแพลตฟอร์มทดสอบสภาพแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์นั้นเป็นมิตรต่อระบบนิเวศทางน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะบนภาคพื้นหรือชายฝั่ง
  • พัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ผู้บริโภค สามารถลดปริมาณการใช้น้ำจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัล เฉลี่ย 25% ต่อผลิตภัณฑ์ เมื่อเทียบกับปี 2016
  • น้ำที่ใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมทั้งหมดจะนำไปรีไซเคิลและวนกลับมาใช้ใหม่

Green Science: การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และความยั่งยืน

Green Science เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่เริ่มตั้งแต่การเพาะปลูกและเทคโนโลยีชีวภาพ ไปจนถึง Green Chemistry และศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์สูตรที่นำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับการมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพให้แก่ผู้บริโภค

  • ปัจจุบัน 65% ของส่วนผสมธรรมชาติของผลิตภัณฑ์ในเครือลอรีอัล เป็นวัตถุดิบชีวภาพหรือได้มาจากแร่ธาตุที่ไม่ขาดแคลน
  • 80% เป็นวัตถุดิบที่ย่อยสลายตามธรรมชาติได้ง่าย เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งได้มาจากแป้งข้าวโพด และใช้สำหรับการสร้างเนื้อสัมผัส
  • 32% เป็นวัตถุดิบธรรมชาติหรือมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น วิตามินซี และ 29% เป็นส่วนผสมที่ได้จาก Green Chemistry หรือกระบวนการทางเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความยั่งยืน ใช้พลังงานต่ำ และสารทำละลายที่อ่อนโยนอย่างน้ำและเอทานอล ไปพร้อม ๆ กับการลดปริมาณของเสียที่เกิดขี้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ ส่วนผสมที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและมีปริมาณการใช้น้ำเพียงน้อยนิด

ภายในปี 2030

  • 100% ของวัตถุดิบชีวภาพที่ใช้ในสูตรและใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์จะสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้และได้รับการจัดหาอย่างยั่งยืน
  • 100% ของผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลจะได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ
  • จัดหาและลงมือปลูกส่วนผสมจากธรรมชาติด้วยวิธีการที่ยั่งยืน
  • คิดค้นนวัตกรรมเพื่อมอบสูตรผลิตภัณฑ์ที่สามารถปฏิวัติขั้นตอนการดูแลผิว และช่วยให้ทุกคนมีไลฟ์สไตล์ที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นได้ อาทิ ครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออกตัวแรกของลอรีอัลนั้นผลิตจากส่วนผสมจากธรรมชาติ 98% และช่วยประหยัดการใช้น้ำอุ่นได้ถึง 100 ลิตรต่อผลิตภัณฑ์หนึ่งขวด

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/group/about-loreal/our-purpose/green-sciences/

การเคารพความหลากหลายทางชีวภาพ Respecting Biodiversity

การรักษาความงามของโลกใบนี้ หมายถึงการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพด้วยเช่นกัน หากระบบนิเวศทางธรรมชาติได้รับความเสียหาย ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นมากมายต่อผืนแผ่นดินและชุมชนต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ลอรีอัลจึงมุ่งมั่นที่จะปกป้องและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ำค่าไว้ โดยสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว ได้แก่

  • ในปี 2022 – 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือที่ปรับโฉมใหม่ มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ซึ่งหมายถึงการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • ในปี 2021 ในบรรดาวัตถุดิบที่ลอรีอัลอ้างอิงใหม่นั้น 63% เป็นวัตถุดิบที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และ 25% ในจำนวนนั้นเป็นเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมวัตถุดิบราว 1,778 อย่างจากพืชพันธุ์ต่าง ๆ เกือบ 345 ชนิดที่มาจากกว่าร้อยประเทศ โดย 93% ของส่วนผสมที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ มาจากแหล่งที่ได้รับการรับรองว่ามีความยั่งยืน
  • ดำเนินแผนปฏิบัติการเพื่อให้แน่ใจว่า การจัดหาน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อไม้ (กล่องกระดาษ และกระดาษสำหรับบรรจุภัณฑ์) เป็นไปอย่างอย่างยั่งยืน เพื่อที่ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของลอรีอัลจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/commitments-and-responsibilities/for-the-planet/respecting-biodiversity/

การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ลอรีอัลได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซ CO2 ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและการขนส่ง และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารสถานที่ เช่น อาคาร เครื่องมือและอุปกรณ์ และอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในที่ที่สามารถทำได้ และบรรลุเป้าหมายที่กำหนดในแต่ละที่โดยไม่ใช้การชดเชยคาร์บอน ในด้านการส่งลอรีอัลในประเทศไทยได้นำรถบรรทุก EV มาใช้ในการขนส่ง โดยในปี 2017 ลอรีอัลเป็นหนึ่งในหนึ่งร้อยบริษัทแรกที่กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกด้วย

เป้าหมายภายใต้โปรแกรม “L’Oréal For The Future”

  • ภายในปี 2025 ไซต์งานทั้งหมดจะใช้พลังงานหมุนเวียน 100%
  • ภายในปี 2030 ลอรีอัลจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2 ที่เป็นผลมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของลอรีอัล 25% เมื่อเทียบกับปี 2016
  • ในปี 2023 ลอรีอัลมีอาคารไซต์งานที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% จำนวน 131 แห่ง ซึ่งคิดเป็น 79% ของไซต์งานทั้งหมดทั่วโลก

ข้อมูลพิ่มเติม: https://www.loreal.com/en/commitments-and-responsibilities/for-the-planet/fighting-climate-change/

เห็นได้ชัดเจนว่า “ลอรีอัล กรุ๊ป” บริษัทชั้นนำทางด้านความงามที่ประกอบด้วย 37 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 115 ปี มีเป้าหมายในการสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลก โดยกำหนดทิศทางและมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้านความงามที่ครอบคลุม มีจริยธรรม สร้างความยั่งยืนให้กับสังคม และสิ่งแวดล้อม และพันธสัญญาเพื่อความยั่งยืนอย่าง L’Oréal for the Future ตอกย้ำภาพลักษณ์ในการมุ่งมั่นมอบสิ่งที่ดีที่สุดด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความจริงใจ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังคงเป้าหมายหลักในการส่งเสริมความงามอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับผู้คน

 

[Advertorial]

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ