จับสาวใช้แอพหาคู่ ลวงให้รัก ปลอมเฟซบุ๊ก ก่อนหลอกลงทุนคริปโต พบมีเหยื่อโดนเพียบ มีหมายจับ 7 หมายติดตัว ความเสียหายกว่า 7 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 11 พ.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามนโยบาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการมอบหมายให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. /ผอ.ศปอส.ตร (PCT), พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. เร่งดําเนินการกวดขันจับกุม ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือการกระทําความผิดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่สร้างความ เดือดร้อนแก่สังคมไทย
จึงสั่งการให้ ศปอส.ตร. ชุดปฏิบัติการที่ 1 นําโดย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./ หน.ชป.ศปอส.ตร.ชุดที่ 1, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตมพร้อมกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจ ศปอส.ตร. ชุดปฏิบัติการที่ 1 (PCT) และเจ้าหน้าที่ตํารวจ บก.สส.สตม. จับกุมตัว
ผู้ต้องหา น.ส.ดวงรักษ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี สัญชาติไทย ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น”
พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 เจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร.ชุดปฎิบัติการที่ 1 สืบสวนกรณีที่มีประชาชนเข้าแจ้งความ ร้องทุกข์ผ่านทางระบบแจ้งความออนไลน์และเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. ว่ามีคนร้ายที่รู้จักกันผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ แล้วชักชวนหลอกลงทุนคริปโต ซึ่งพบว่ามีผู้เสียหายอยู่รายหลาย
ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่าการกระทําความผิดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ น.ส.ดวงรักษ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงธนบุรี ที่ 107/2565 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2565 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น”
จึงได้สืบสวนติดตามทราบว่าน.ส.ดวงรักษ์ หลบหนีไปอยู่บ้านพัก ในซอยสุขุมวิท 33 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา จึงไปตรวจสอบและพบน.ส.ดวงรักษ์ จึงแสดงหมายจับและแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ และจับกุมตัว เพื่อส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โดยทางผู้ต้องหายอมรับสารภาพว่า ตนรับจ้างเปิดบัญชี จํานวน 2 บัญชี จํานวน 2,000 บาท โดยได้รับการติดต่อจากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งตนก็ยินยอมและส่งมอบบัญชีธนาคาร ซิมมือถือที่ลงทะเบียนกับทางธนาคารให้
พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หน.ชป.ศปอส.ตร.ชุดที่ 1 เปิดเผยถึงพฤติการ์ณของคนร้ายว่าคนร้ายนั้นจะทําการปลอมตัวและแฝงตัวอยู่ใน แอพพลิเคชั่นหาคู่ เช่น แอพพลิเคชั่น omi, ok cupid จากนั้นเมื่อพูดคุยตีสนิทกับผู้เสียหายไปสักพักหนึ่งแล้วจะให้ ทางผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊กและพูดคุยผ่านทางเฟซบุ๊ก
เพื่อทําให้ผู้เสียหายตายใจ โดยเฟซบุ๊กที่พูดคุยนั้นใช้โปร์ไฟล์ปลอม หลังจากนั้นจะขอให้แอดไลน์ เพื่อจะพูดคุยถึงการลงทุนเกี่ยวกับการเทรดคริปโต หรือการลงทุนหุ้นต่างๆ และเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงชักชวนผู้เสียหายให้สมัครสมาชิกสําหรับการเทรดคริปโต ผ่านเว็บไซต์
ซึ่งคนร้ายจะเริ่มพูดคุยแนะนําเกี่ยวกับหุ้นคริปโตที่ให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและเริ่มโอนเงินเพื่อการลงทุน สําหรับเทรดไปยังบัญชีของคนร้ายที่แจ้งให้กับผู้เสียหาย โดยเว็บไซต์ที่ทางผู้เสียหายสมัครสมาชิกนั้นจะเป็นเว็บไซต์ปลอมที่ ถูกทางคนร้ายสร้างขึ้นมาเพื่อใช้หลอกผู้เสียหาย และเมื่อเข้าไปเทรดช่วงแรกจะแจ้งว่าได้กําไร แต่จะยังไม่สามารถถอนเงินได้ โดยจะถูกชักชวนให้ลงทุนเทรดเพิ่มขึ้น
ซึ่งหากผู้เสียหายต้องการจะถอนเงินออกจากระบบ ก็จะให้โอนเงินเพื่อชําระค่าธรรมเนียม ค่าภาษี หรือค่าต่างๆ เพื่อจะทําให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและถูกหลอกให้โอนเงินต่อไป โดยจากการตรวจสอบจากระบบ แจ้งความออนไลน์ของสตช. พบว่ามีผู้เสียหายจํานวนหลายราย และมีความเสียหายรวมกันมากกว่า 7 ล้านบาท และพบว่าผู้ต้องหารายนี้มีหมายจับอื่นอีก รวม 7 หมายจับ
พล.ต.อ.รอย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยประชาชนในการดําเนินกิจกรรมทางโลกออนไลน์โดยเฉพาะการพนันออนไลน์ การฉ้อโกง หรือการหลอกลงทุนต่าง รวมไปถึงแก๊งคอลเซนเตอร์
โดย ผบ.ตร.กําชับให้ตํารวจทุกหน่วยกวดขันจับกุมอย่างเด็ดขาด ไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งนี้ จะดําเนินการตรวจสอบและขยายผลเส้นทางการเงินบัญชีที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ เพื่อจะนําพยานหลักฐานมาดําเนินการกับกลุ่มคนร้ายต่อไป และขอแจ้งเตือนผู้ที่คิดจะกระทําความผิดเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ และเล่นพนันออนไลน์ อาจจะถูกดําเนินคดีตามกฎหมายประเทศไทย