ที่แท้หวังดี! เพื่อนบ้านข้างๆ แอบเอา “เหรียญ” มาวางทิ้วไว้หน้าประตูทุกวัน ผ่านมา 1 ปี เพิ่งรู้จุดประสงค์ ต้องกล่าวขอบคุณจากใจ
เว็บไซต์ SOHA รายงานเรื่องราวที่ถูกแบ่งปันลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยผู้โพสต์เล่าว่า เธอและสามีได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่หลังแต่งงาน เป็นย่านพักอาศัยที่ค่อนข้างเงียบสงบ สภาพแวดล้อมสะดวกสบาย เพื่อนบ้านเป็นกันเอง อย่างไรก็ตาม ความสงบสุขนี้ถูกทำลายลงด้วย “เหรียญลึกลับ” เป็นเหรียญ 1 หยวน ที่มักปรากฎอยู่หน้าประตูบ้านเสมอ
ตอนแรกเธอคิดเพียงว่ามีใครบังเอิญทำหล่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเหรียญลึกลับนี้ก็ยังคงปรากฏหน้าประตูบ่อยขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกวัน ทำให้เธอเริ่มไม่สบายใจและสงสัยว่า มีเด็กเล่นซุกซนหรือมีคนแกล้งหรือเปล่า? หรือเพื่อนบ้านจงใจส่งสัญญาณบางอย่าง? เธอจึงตัดสินใจแอบสังเกตการณ์ แต่หลายวันผ่านอย่างไปไร้ผล เพราะเหรียญมักจะถูกทิ้งไว้ในตอนเช้าตรู่ ในขณะที่เธอกับสามียังคงหลับอยู่
กระทั่งวันหนึ่งที่เธอนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาออกกำลังกายตั้งแต่เช้า เมื่อกลับมาก็บังเอิญเห็นหญิงวัยกลางคนที่เป็นเพื่อนบ้าน กำลังวางเหรียญไว้พอดิบพอดี แต่เนื่องจากเธอต้องรีบไปทำงาน จึงต้องเก็บความความสงสัยในใจก่อน และตั้งใจว่าจะกลับมาคุยกับอีกฝ่ายในตอนเย็น
ความมีน้ำใจอันเหลือเชื่อของเพื่อนบ้าน
หลังกลับมาจากที่ทำงาน เธอตัดสินใจไปเคาะประตูบ้านของหญิงวัยกลางคนรายดังกล่าว อีกฝ่ายเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็นังชวนเข้าไปดื่มชาในบ้านอย่างเป็นกันเอง กระทั่งเมื่อสบโอกาสเธอจึงเอ่ยถามเข้าประเด็นว่า “คุณป้าคะ จริงๆ ฉันมีเรื่องจะถามค่ะ ช่วงนี้ทุกเช้าฉันเห็นเหรียญหน้าบ้าน และเช้านี้บังเอิญเห็นป้าวางมันไว้ ฉันแค่สงสัยว่ามันมีเหตุผลอะไรหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ อีกฝ่ายก็มีท่าทีเขินอายเล็กน้อย ก่อนอธิบายอย่างอ่อนโยนว่า “มันเป็นความผิดของฉันจริงๆ ฉันไม่ควรทำลับๆ ล่อๆ ขนาดนี้ เงินนั้นไม่ได้หมายความในทางเลวร้าย เพียงแต่ว่าบ้านเกิดของฉันมีธรรมเนียมที่จะเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ วางไว้หน้าบ้าน เพื่อนำความมั่งคั่งมาให้ และปกป้องเจ้าของบ้านให้ปลอดภัย ฉันคิดว่าพวกคุณคนหนุ่มสาวไม่ใส่ใจกับสิ่งเก่าๆ เหล่านี้ ฉันก็เลยทำเงียบๆ หวังว่าคุณจะโชคดีและมีความสุข”
หลังจากฟังคำอธิบายแล้วก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำไปด้วยความใจดีและเอาใจใส่ เธอจึงเลือกที่จะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณป้าขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของคุณค่ะ เราไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ และรู้สึกประทับใจมาก แต่ในอนาคตคุณไม่จำเป็นต้องลำบากอีกต่อไป เราจะจัดการเองค่ะ”
อีกฝ่ายฟังจบก็ยิ้มอย่างมีความสุขพร้อมกล่าว “เอาล่ะ! ใช้ได้! ฉันรู้ว่าพวกคุณก็มีแนวทางของตัวเอง ในอนาคตฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกต่อไป ฉันแค่หวังว่าทั้งคู่จะโชคดีและมีความสุข” ในขณะที่ตัวของเธอเองก็รู้สึกอบอุ่นใจกับเรื่องเล็กๆ ที่มาจากความเอาใจใส่ของเพื่อนบ้านเช่นนี้
ความจริงถูกเปิดเผยหลังจากการพูดคุยครั้งที่สอง
ต่อมา มีช่วงเวลาที่เธอกับสามีก็มีปัญหากัน เนื่องจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ต้องดูแลครอบครัวและย้ายบ้าน พวกเขาจึงทำงานอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจคู่ชีวิตและลูกๆ บางครั้งที่กลับบ้านมาเหนื่อยๆ ก็เผลอตะคอกใส่กันและทะเลาะกันบ่อยๆ ในช่วงเวลานั้นป้าเพื่อนบ้านก็เริ่มกลับมาวางเหรียญไว้ที่หน้าประตูเป็นประจำอีกครั้ง
ท้ายที่สุดเธอก็อดสงสัยไม่ได้ จนต้องไปถามตรงๆ อีกครั้งว่า “ทำไมคุณถึงเลือกนำเหรียญมาวางไว้ที่บ้านของฉัน ไม่ใช่บ้านหลังอื่น? แล้วทำไมยังทำแบบเดิมอยู่หลังจากที่ฉันพูดไปแบบนั้นแล้ว? และดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ธรรมเนียมทั่วไป เพราะฉันได้ลองหาข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่ไม่พบความเชื่อนี้ในพื้นที่ไหนเลย”
อีกฝ่ายจึงทำได้เพียงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันขอโทษที่ไม่บอกความจริงกับคุณครั้งที่แล้ว การวางเหรียญเริ่มต้นขึ้นเมื่อฉันได้ยินคุณและสามีทะเลาะกัน เพราะเพื่อนของฉันเล่าว่าถูกสามีข่มเหงเพราะเรื่องเงินจนต้องออกจากบ้าน ฉันเลยเริ่มกลับมาวางเหรียญไว้ที่ประตูบ้านของคุณ เพื่อเตือนสามีให้ทะนุถนอมครอบครัวของเขา ฉันเห็นว่าคุณกลับบ้านดึกจากที่ทำงานบ่อยมาก ฉันกลัวว่าคุณจะตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ฉันจึง…”
หลังจากฟังคำอธิบานทั้งหมดจบแล้ว เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าเบื้องหลังความมีน้ำใจของเพื่อนบ้านรายนี้ ไม่เพียงแต่มีความห่วงใยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้าใจผิดที่เป็นอันตรายด้วย ดังนั้นเธอจึงต้องอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่า “คุณป้า คุณเข้าใจผิดแล้ว ถึงทะเลาะกันแต่ก็ยังรักกันมาก ไม่เคยทำร้ายร่างกายกัน และไม่มีเจตนาจะเลิกกัน ถึงอย่างนั้นฉันสัญญาว่าพวกเราจะพยายามมีความสามัคคีกันมากขึ้น”
เมื่อมาถึงจุดนี้ อีกฝ่ายจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมพูดเบาๆ ว่า “นั่นสินะ ดูเหมือนว่าฉันจะกังวลอย่างประโยชน์ ฉันขอโทษจริงๆ ที่สร้างปัญหาให้กับพวกคุณ ”
อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดนอกจากเธอจะรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขเมื่อความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไข ยังต้องยอมรับว่าความกังวลของเพื่อนบ้านรายนี้ กลายเป็นสัญญาณเตือนการแต่งงาน ทำให้เราทั้งคู่ต้องเปลี่ยนแปลงและเห็นคุณค่าครอบครัวมากขึ้น