คำผกา ยกเคส 'หมอสอง' ถูกลักพาตัวในมาลี เทียบสภาพประเทศไทยไม่ต่าง

Home » คำผกา ยกเคส 'หมอสอง' ถูกลักพาตัวในมาลี เทียบสภาพประเทศไทยไม่ต่าง


คำผกา ยกเคส 'หมอสอง' ถูกลักพาตัวในมาลี เทียบสภาพประเทศไทยไม่ต่าง

คำผกา ยกเคส ‘หมอสอง’ ถูกลักพาตัวในมาลี เทียบสภาพประเทศไทยไม่ต่าง ชี้คนมีสีกับคนคุมบ่อนคุมซ่อง คุมธุรกิจผิดกฎหมาย

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 25 ต.ค. 2565 ข่าวสด ออนไลน์ จัดรายการ “ข่าวจบ คนไม่จบ” ดำเนินรายการโดย อั๋น ภูวนาท คุนผลิน และแขก ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา ในหัวข้อ “เมื่อถูกลักพาตัวต้องทำยังไง! หลัง ‘หมอสอง’ โดนเรียกค่าไถ่”

  • หมอสอง โพสต์แรกหลังถูกลักพาตัว25วัน กลับไทยเช้านี้ เผยปมข่าวสับสนคลาดเคลื่อน
  • เปิดภาพแรก “หมอสอง” ถึงไทยแล้ว หลังถูกจับเรียกค่าไถ่ – พร้อมให้ข้อมูลตร.
  • ดักจับกลางถนน หมอสอง เปิดใจถูกลักพาตัว25วัน สุดลำบากล่ามโซ่-ยอมจ่ายค่าไถ่

อั๋น กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ หญิงแย้ออกมาเคลื่อนไหวว่า ติดต่ออดีตสามีไม่ได้ หาไม่เจอ ขอให้ช่วยค้นหา แต่ต่อมาหญิงแย้ก็ลบโพสต์ทั้งหมด คาดว่าตอนที่ลบอาจจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะรู้จากครอบครัวอดีตสามี ซึ่งในที่สุดสรุปว่าถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่จริง จากการเดินทางท่องเที่ยวในหลายประเทศ โดยถูกลักพาตัวไป 20 กว่าวันที่ประเทศมาลี

อั๋น กล่าวต่อว่า หมอสองเผยว่าถูกล่ามโซ่เอาไว้และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมาก เพื่อเรียกค่าไถ่ 5-6 ล้านบาทา จึงต้องเคลื่อนไหวเงียบๆ เพราะกลัวว่าถ้าเป็นข่าวใหญ่ อีกฝ่ายรู้ว่าหมอสองไม่ได้เป็นผู้ชายไทยหรือคนธรรมดา แต่เป็นคนที่มีเครดิต รวย ดัง เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม เป็นที่รู้จัก เป็นยูทูบเบอร์ ทำรายการท่องเที่ยว ค่าไถ่อาจจะขึ้นไปสูงกว่านี้

อั๋น กล่าวอีกว่า เบื้องหลังมีการติดต่อประสานงานในระดับประเทศ ทั้งกองทัพและรัฐบาลของฝรั่งเศส บังเอิญว่ากลุ่มประเทศที่ไปค่อนข้างอันตราย ยากจน และไม่เจริญ แล้วเป็นอาณานิคมเยอะมากทั้งของอังกฤษและฝรั่งเศส ตอนที่ถูกลักพาตัวคือกำลังเดินอยู่กลางถนน แล้วถูกรถจักรยานยนต์ลักพาตัวไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พลัดหลงกับมัคคุเทศก์ส่วนตัว

อั๋น กล่าวต่อว่า หมอสองเดินทางโดยใช้มัคคุเทศก์และเดินทางโดยจ้างบริษัททัวร์วางแผนการเดินทาง ซึ่งเขาพยายามเน้นย้ำแล้วว่าให้ไปเฉพาะจุดที่ปลอดภัยเท่านั้น แม้โดยรวมประเทศจะไม่ปลอดภัย หมอสองบอกอีกว่ายังมีคนที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่และติดอยู่ในนั้นมานานเป็นปีแล้ว หมอสองบอกว่ากลัวมาก

ด้าน คำ ผกา กล่าวว่า โดยมากประเทศเหล่านี้เป็นรัฐล้มเหลว มีกลุ่มมาเฟียต่างๆ ครองเมืองอยู่ แล้วบรรดาข้าราชการก็เป็นอย่างที่เราคุ้นเคย สภาพประเทศไทยก็ใกล้เคียงแล้ว เพียงแต่เราอยู่กับมันทุกวัน เราไม่รู้สึก

“ประเทศมาลีก็คงอยู่เหมือนคนไทย อย่างวันนี้มีข่าวตำรวจไปยิงคนในผับ ทำไมประเทศนี้คนมีสีกับคนคุมบ่อนคุมซ่อง คุมธุรกิจผิดกฎหมายทั้งหมด เป็นคนกลุ่มเดียวกัน เวลาข่าวแบบนี้ไปต่างประเทศ คนในต่างประเทศก็จะงงเหมือนกันว่า ตำรวจหรือโจรนี่แยกไม่ออก เผลอๆ แก๊งเรียกค่าไถ่ก็เป็นแก๊งตำรวจ แก๊งคนมีสีหรือแก๊งมีเส้นในรัฐบาล”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า หลังจากตนอ่านนิยายและวรรณกรรมของนักเขียนในแอฟริกา พบว่าไทยกับหลายๆ ประเทศในแอฟริกาควรจะเอามาทำการเมืองเปรียบเทียบกันมาก เราชอบคิดว่าเราเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประวัติศาสตร์ของเราสามารถเทียบเคียงกับลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์

“ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของเกือบทุกประเทศในแอฟริกาพบว่าเหมือนฝาแฝดเลย ได้รับเอกราชทศวรรษที่ 20-30 มีประชาธิปไตยช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นก็มีรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประชาชนตกอยู่ภายใต้การปกครองเผด็จการของทหารมายาวนาน เกิดกลุ่มการเมืองที่เป็นกลุ่มเครือญาติผลัดกันขึ้นมาครองประเทศ สลับกันกับการปกครองภายใต้ลัทธิเผด็จการฐานนิยมเหมือนเปี๊ยบเลย”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า บางประเทศอย่างโซมาเลียที่เป็นเมืองขึ้นอิตาลี ทะเลสวย อาหารทะเลอร่อย เป็นประเทศที่ล็อบสเตอร์ดีที่สุด คนก็เก๋ แต่งตัวแฟชั่น แต่พอมีรัฐประหารปี 1960 กว่าๆ ยุคเดียวกับที่เราอยู่ภายใต้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สิ่งเหล่านั้นก็หายไปหมด แล้วโซมาเลียก็กลายเป็นเบี้ยโจรสลัดอยู่ทุกวันนี้

คำ ผกา กล่าวอีกว่า ร้านอาหารในกระโจมผ้าริมทะเลในอดีตก็หายไปหมด การเต้นรำ การดูคอนเสิร์ต ดูหนัง แต่งตัวสวยงาม พอรัฐบาลเผด็จการมาปุ๊บ ผู้หญิงห้ามนุ่งกระโปรงสั้น เสรีภาพในการแต่งตัว แฟชั่นอารยธรรมทั้งหลายหายไปในชั่วพริบตา แล้วประเทศก็ด้อยพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้

“หลังจากฟังเรื่องราวต่างๆ ในแอฟริกาเราจะรู้สึกว่าน่ากลัว ลองขยับตัวเองออกจากประเทศไทย แล้วมองจากข้างนอกเข้ามาในประเทศไทย ประเทศไทยไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าเขา แต่เราแค่ชิน แล้วเราอาจจะเป็นกลุ่มคนชั้นกลางที่ได้รับการปกป้องมากกว่าคนอื่นในสังคม”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า อย่างในฟิลิปปินส์ มีคนรวยที่มีรั้วบ้านสูงๆ แล้วมียามเฝ้าหน้าบ้าน 20 คน ด้านนอกก็มีแก๊งเรียกค่าไถ่ แล้วคนรวยๆ พวกนั้นก็ไม่เคยเห็นสลัม ไม่เคยเห็นความจน ไม่เคยเห็นว่ามีคนคุ้ยเศษอาหารมาล้าง แล้วเอามาผัดใหม่และขายในตลาดเป็นล่ำเป็นสัน คนรวยก็จะนั่งรถหรูๆ มีคนขับรถ ใส่ถุงมือออกจากบ้าน ไปยังร้านอาหารแพงๆ ไปโรงแรมหกดาว เสร็จแล้วก็กลับมาบ้าน มีคนรับใช้ ไม่เคยเห็นชีวิตของเพื่อนร่วมชาติ ย้อนกลับมาดูชีวิตคนไทย บางทีเราอยู่ในแวดวงคนชนชั้นกลาง หรือคน 5% ของประเทศ เราไม่ได้ต่างจากฟิลิปปินส์ โซมาเลีย หรือไนจีเรียไม่กี่มากน้อย

อั๋น กล่าวเสริมว่า เรายังไม่ถึงขนาดนั้น แต่เทียบเคียงได้หลายจุด อย่างครั้งล่าสุดที่ตนไปฟิลิปปินส์ เขาบอกว่าให้อยู่แค่ในดาวน์ทาวน์ แต่เมื่อออกนอกเขตนี้อันตรายหมดอย่าไป เราก็อยู่โซนที่เจริญแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าข้างนอกรั้วเป็นอย่างไร บางคนมองว่าความอันตรายเป็นความยั่วยวนมีเสน่ห์ แต่ก็ต้องยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตนเชื่อว่าคงจะได้ฟังหมอสองพูดถึงเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าสภาพจิตใจเขาพร้อมที่จะพูดคุยได้มากน้อยแค่ไหน

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ