คำผกา ตอกพระประณาม ‘แพรรี่’ ไม่ชอบธรรม เพราะไม่ใช่ผู้มีบุญคุณโดยตรง ชี้ศาสนาไม่ใช่ตัวบุคคล เนรคุณไม่ได้
เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 23 ก.ย. 2565 ข่าวสดออนไลน์ จัดรายการ “ข่าวจบ คนไม่จบ” ดำเนินรายการโดย อั๋น ภูวนาท คุนผลิน และแขก ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา ในหัวข้อ “เดือดจัด! แพรรี่ VS พระชาตรี ซัดแรง ลากไส้แฉกลับ”
- ทนาย ลุยแจ้งความเอาผิด ไพรวัลย์ หมิ่น พระชาตรี ทำคณะสงฆ์เสื่อมเสีย
- ไพรวัลย์ ฟาดเดือด พระชาตรี หลังไลฟ์แขวะ ‘อีแพรรี่’ เหยียบย่ำสถาบันพระพุทธศาสนา
- แพรรี่-จตุรงค์ VS ทนายธรรมราช ซัดเดือดกลางโหนกระแส ลั่นฟ้องมาฟ้องกลับ!
คำ ผกา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีคุณค่าคู่ควรแก่การเอามาพูดต่อหรือวิเคราะห์วิจารณ์ต่อเลยแม่แต้น้อย ข้อที่ 1 ไม่มีกฎที่บอกว่าบวชแล้วห้ามสึก ข้อที่ 2 ไม่มีกฎว่าถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตบวชแล้วจะต้องเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา ต่อให้ถือกำเนิดมาในเนปาล อินเดีย ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ
ดังนั้น ที่พูดว่าเนรคุณพุทธศาสนา แต่พุทธศาสนาไม่ใช่บุคคล พุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ถูกตีความไปอย่างหลากหลาย และถูกนำไปปรับใช้ตามความเปลี่ยนแปลงของโลก และวัฒนธรรมของผู้คนทั้งโลก เราไม่สามารถเนรคุณต่อศาสนาได้โดยตรรกะ เพราะศาสนาไม่ใช่ตัวบุคคล แล้วไม่มีกฎว่า ถ้าคุณบวชแล้วสึกออกมาจะไปนับถือศาสนาอื่นไม่ได้ หรือจะกลายเป็นคนที่ไม่มีศาสนาก็ไม่มีข้อห้าม
คำ ผกา กล่าวต่อว่า ถ้าบอกว่าเนรคุณต่อวัด ต่อพระอุปัชฌาย์ของตัวเอง ก็รอให้วัดหรือพระอุปัชฌาย์ของแพรรี่มาทวงเอง คุณไม่ใช่ผู้มีบุญคุณต่อเขาโดยตรง คุณไม่มีความชอบธรรมที่จะมาประณามว่าเขาเนรคุณ ไม่มีบรรทัดไหนที่สมเหตุสมผล เป็นสิ่งที่ควรจะอ่านแล้วก็ลืม ตนรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ในทุกแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดียมีความคิดเห็นแบบนี้เป็นล้านๆ ความคิดเห็น จากทั่วทุกสารทิศ จากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าในสังคมไหนหรือประเทศไหนก็จะมีคนแบบพระชาตรี แล้วความเห็นแบบนี้มีเต็มไปหมด
คำ ผกา กล่าวอีกว่า ประเทศไทยประหลาดมากที่ให้พื้นที่สื่อกับเรื่องแบบนี้ มันควรจะเป็นหนึ่งความคิดเห็นที่กลืนหายไปท่ามกลางความเขลามหาศาลที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปบนโลกใบนี้ แต่หากมองแบบธุรกิจ ถ้าตนเป็นแพรรี่ก็จะหยิบเรื่องนี้มาพูด เพราะแพรรี่ตอนนี้เป็นอินฟลูอินเซอร์ มีอาชีพที่ยิ่งมีประเด็นแบบนี้ยิ่งดีต่ออาชีพของเขา นับว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ฉลาดมากที่ออกมา
ด้าน อั๋น กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่เราไม่ควรไปให้น้ำหนักเอามาถ่วงใจ แต่ตนคิดว่าหลายครั้งพอมีการแสดงความคิดเห็นแปลกๆ ที่เต็มไปด้วยความเขลาแบบนี้ออกมา มันเป็นโอกาสดีที่เมื่อออกมาพูดแล้วเผื่อว่าจะไม่เขลา จะได้ฉลาดขึ้น ได้รับการศึกษา และกระจายความรู้ นับว่าเป็นการเผยแผ่ศาสนาที่ถูกต้องอีกอย่างหนึ่งของคนที่ชอบอ้างศาสนา แล้วบอกว่าปกป้องศาสนาในนามของความถูกต้อง แต่หาแก่นไม่เจอ
อั๋น กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าสิ่งที่แพรรี่ออกมาพูดครั้งนี้ในทุกสื่อ เขาพูดด้วยแก่น และเหมือนเทศนาให้เราได้รู้ เช่นที่เขาพูดว่าบุญคุณเป็นของวัดหรือ วัดได้น้ำและข้าวมาจากประชาชนที่มาตักบาตรทั้งสิ้น ฉะนั้นคนที่มีบุญคุณกับเขาคือชาวบ้านประชาชน พระไม่ได้ออกมาตักบาตรกันเอง ถึงจะเป็นบุญคุณต่อกันและกัน เขาพูดให้เราเห็นภาพ
อั๋น กล่าวอีกว่า เมื่อแพรรี่พูดก็จะอ้างถึงหลักรรมที่ชัดเจนในระดับเปรียญ แล้วคุยกับทนายที่บอกว่าออกมาปกป้องศาสนา แต่ไม่รู้เรื่องศาสนาได้เท่าเปรียญในระดับแพรรี่ ซึ่งแพรรี่ไม่ได้จบเปรียญแบบธรรมดา แต่จบตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วคนที่ปฏบัติธรรมไม่จำเป็นต้องปฏบัติในวัด ไม่ต้องโกนหัวหรือนุ่งเหลืองห่มเหลือง พระนางวิสาขาก็แต่งงานแล้วมีลูกตอนที่บรรลุ ไม่ได้แปลว่าต้องอยู่ในเพศบรรพชิตเท่านั้น
“ไม่ว่าวันนี้เขาจะออกมาอยู่ในชุดอะไร หรือจะแต่งหน้าทาปากสีม่วง แต่ถ้าใจเขา สิ่งที่เขาพูดและแก่นที่เขาพูด รวมถึงสิ่งที่เขายึดถืออยู่ในใจ มันยังเป็นเรื่องของแก่นที่ใช้หลักธรรม ผมว่าไม่ผิด อย่าเอาเปลือกมาเป็นแก่น” อั๋น กล่าว
คำ ผกา กล่าวเสริมว่า สำหรับตนต่อให้แพรรี่ไม่ได้ยึดมั่นในหลักธรรมแล้วก็ไม่ผิด เพราะเขาเป็นฆราวาสแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องมาแม่นยำหรือยึดมั่นหลักธรรมตลอดชีวิต หรือถ้าวันหนึ่งแพรรี่จะประกาศว่าไม่มีศาสนาก็ได้ เพราะความดีก็คือความดี ความดีเป็นสากล
อั๋น กล่าวต่อว่า สุดท้ายพระชาตรีก็ออกมาขออภัยแพรรี่ ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่าให้บทเรียนกับทุกคน รวมถึงทนายด้วย
คำ ผกา กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าก็ดีที่เขาไม่ทิฐิมานะขนาดนั้น ไม่ว่าจะกลัวโดนเปิดโปงหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เขามีความกล้าหาญที่จะขอโทษในที่สาธารณะ นักการเมืองหลายๆ คนที่ทำความผิด หรือคนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจในประเทศไทยจำนวนมากโดนแฉซะขนาดนี้ ยังไม่มีใครกล้าออกมาขอโทษอย่างสง่าผ่าเผยขนาดนี้ ตนคิดว่าน่าชื่นชม