คำผกา ชี้ 'ป้อม' แค่รักษาการตามระบบ ถ้าไม่อยากเห็นเป็นนายกฯ อย่าเลือก พปชร.

Home » คำผกา ชี้ 'ป้อม' แค่รักษาการตามระบบ ถ้าไม่อยากเห็นเป็นนายกฯ อย่าเลือก พปชร.



คำผกา ชี้ ‘ป้อม’ แค่รักษาการตามระบบ ถ้าไม่อยากเห็นเป็นนายกฯ อย่าเลือก พปชร. แนะเปลี่ยนมุมมอง คำสั่งศาลรธน.ให้ ‘ประยุทธ์’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือความสำเร็จ

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 26 ส.ค. 2565 ข่าวสด ออนไลน์ จัดรายการ “ข่าวจบ คนไม่จบ” ดำเนินรายการโดย อั๋น ภูวนาท คุนผลิน และแขก ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา ในหัวข้อ “ตู่ ไปได้ ป้อม จับการเกมการเมืองพลิก!”

คำ ผกา กล่าวว่า สิ่งที่คนจับตากันมาก คือการโยกย้ายตำรวจและทหาร ถ้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรี เข้ามาแตะ แต่วันนี้ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ว่าไม่แตะ ให้เป็นไปตามเดิม แต่ไม่มีใครรู้ว่าในเวลาอีกประมาณ 1 เดือนหลังจากนี้ ถ้า พล.อ.ประวิตร ใช้อำนาจในฐานะรักษาการนายก ไปปรับบางสิ่งบางอย่าง มันจะกระทบกับดุลอำนาจทางการเมืองหลังจากนั้นแน่นอน ไม่ว่าผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร

คำ ผกา กล่าวต่อว่า อีกเรื่องคือกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง สูตรหาร 100 ที่พลิกกลับมาหาร 500 แล้วพลิกมาที่ 100 อีก ซึ่งว่ากันว่าเป็นการดึงกันระหว่าง พล.อ.ประวิตร และพล.อ.ประยุทธ์ หากหาร 100 จะเป็นประโยชน์ต่อพล.อ.ประวิตร มากกว่า เพราะ พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ส่วนหาร 500 จะเป็นประโยชน์ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า เพราะส่งหลายคนไปตั้งพรรคการเมืองใหม่และเป็นพรรคเล็ก เราจะเห็นรอยแยกเส้นทางทางการเมืองของ 2 คนนี้

คำ ผกา กล่าวอีกว่า รอยปริอันแรกเป็นที่รู้กันคือการออกมาจาก พปชร. ของธรรมนัส เพราะธรรมนัสประกาศว่าจะไม่โหวต ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อีกต่อไป และออกจาก พปชร. มาตั้งอีกพรรคนึง และการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ จนกว่าศาลจะมีคำวินิฉจฉัย ไม่ว่าผลการวินิจฉัยจะเป็นอย่างไร ถือว่าตำแหน่งนี้และตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีมลทินเลย ถ้าชิงลาออกก่อน แต่การที่ดึงดันและไม่ชิงลาออก แล้วรอไปตามกลไกก็ไม่ได้ผิด แต่การที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ มันปฏิเสธไม่ได้ว่า มลทินมันเกิดขึ้นแล้ว

คำ ผกา กล่าวต่อว่า ในสนามการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น จะทำให้น้ำหนักการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองใดก็ตาม จะไม่มีพลังอีกต่อไป เพราะคุณกำลังจะเสนอชื่อของคนที่ไม่มีสปิริตทางการเมือง เพราะฉะนั้นเราจะเห็นท่าทีของนักการเมือง เช่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ให้สัมภาษณ์ด้วยท่าทีแปลกๆ การแบ่งรับแบ่งสู้ต่อสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป

“ตอนนี้สปอร์ตไลท์ทุกด้วยฉายมาที่ พล.อ.ประวิตร เวลา 30 วัน หรือ 1 เดือน เป็นเวลาที่มีความหมายมาก เพราะเป็นเวลาที่มากพอที่จะทำให้ใครบางคนมีออร่า และทำให้ใครบางคนราศีหม่นหมองไปได้ เพราะคุณไม่มีเวที เราจะเห็นว่าวันนี้ พล.อ.ประวิตร ได้แสดงบารมีเหนือกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้ว”

“เก้าอี้นายกฯ ลุกขึ้นไปวันเดียว องคาพยพที่อยู่รอบตัวเปลี่ยนไปหมดเลย แล้วภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ส่งให้นักข่าว ขณะทำงานอยู่ที่กระทรวงกลาโหม คือไปเงียบๆ นั่งเงียบๆ โดยไม่มีนักข่าวไปรุมล้อมว่าวันนี้จะตัดสินเรื่องอะไร แล้วก็มีคนแซวว่า ใน 1 เดือนนี้ พล.อ.ประวิตร สามารถปรับ ครม. เปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม ได้”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า ขณะนี้เป็นการสะสมพลังงานทางการเมือง ใน 1 เดือนจะต้องมีดีเบต การแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่จะมีผลต่อคำวินิจฉัย หมายความว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลังจากนี้ มันจะทำให้เกิดวิกฤตขึ้นได้ หรือทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ ถ้ามีทางเลือกที่มีความถูกและผิดเท่ากันหมด คุณจะต้องเลือกว่าทางไหนที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและสังคม

“ถ้าทางเลือกมันถูกเท่ากันหมด แต่คุณจะวินิจฉัยออกมาในทางที่จะทำให้เกิดจลาจล บ้านเมืองวุ่นวาย เกิคดวามแตกแยก คนออกมาขัดแย้งกันไม่มีที่สิ้นสุด หรืออีกคำตัดสินหนึ่งที่ทำให้เกิดความสมานฉันท์ บ้านเมืองเดินไปสู่ประชาธิปไตย การเลือกตั้ง ประชาชนได้ออกไปแสดงเจตจำนงของตัวเองอีกครั้ง เศรษฐกิจเดินต่อไปได้”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า มีคอมเมนต์นึงที่บอกว่า เหมือนหนีวิกฤตมาเจอวิบัติ ตนอยากให้เปลี่ยนมุมมองในแง่ดีว่า อีกแค่ 9 เดือนการเลือกตั้งกำลังจะเกิดขึ้น พล.อ.ประวิตรไม่ได้จะมาเป็นนายกฯ กับเราอีก 4 ปี แต่การที่ดุลอำนาจของ คสช. มันเปลี่ยน มันไม่มีเสถียรภาพของดุลแห่งอำนาจระหว่าง 3 ป. และระบอบ คสช.อีกต่อไปแล้ว

คำ ผกา กล่าวอีกว่า สำหรับตนการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุติการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา สิ่งนี้เป็นความสำเร็จของสังคม และประชาชน และนักการเมือง รวมถึงพรรคฝ่ายค้านทั้งหมดที่เขย่าเสถียรภาพของดุลแห่งอำนาจนี้สำเร็จ สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับบทบาทของ พล.อ.ประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. มันกำลังจะแผ้วถางทางให้เราเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งภายใต้กติกาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วมันจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเขย่าอีกครั้งหนึ่ง

“เราควรจะโฟกัสที่ระบบ คือ พล.อ.ประวิตร เป็นรองนายกฯ คนที่ 1 เขามารักษาการถูกต้อง หลังจากนี้ทุกอย่างมันเดินหน้าไปสู่เกมของสนามการเลือกตั้ง ซึ่งอำนาจมันจะกลับมาเป็นของประชาชนอีกครั้ง ถ้าไม่อยากเห็น พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ แค่ไม่เลือก พปชร.ก็จบ ซึ่งการเลือกนายกฯ คนต่อไป อยู่ในมือของประชาชนคนไทยทุกคน”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า เราเคยชินกับการที่ไม่อยู่ในสมการทางการเมือง เราเคยชินกับการถูกทำให้เป็นผู้ดูว่า เขาเซ็ตมาแล้ว เมื่อไรก็ตามที่เราคิดว่าเกมเขาเซ็ตมาแล้ว เขากำหนดผู้ชนะไว้แล้ว ทำให้เราไม่แม้แต่จะทดลองออกไปต่อสู้ คุณต้องเซ็ตความคิดใหม่ว่า ทุกๆ การเลือกตั้งคือการเขย่า ทุกๆ การเลือกตั้งคือการส่งผู้เล่นหน้าใหม่ จะเป็นคนดีก็ได้ ไม่เป็นคนดีก็ได้ อยู่คนละฝั่งกับเราก็ได้ แต่ขอให้ทุกคนจับโยนลงไปในสนาม ไม่มีอำนาจรัฐประหารหรือกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเองมาหนุนหลัง อย่างน้อยยังมีฝ่ายค้าน มีพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมีผลประโยชน์ที่ต้องไปรักษาไว้ ไม่อย่างนั้นภูมิใจไทยคงไม่ไปทะเลาะกับประชาธิปัตย์(ปชป.)

“แค่เลือกตั้งซ่อม ภูมิใจไทย แข่งกับ ปชป. และพปชร คือ 3 พรรคร่วมรัฐบาลไปลงเลือกตั้งแข่งกัน แล้วก็ต้องทะเลาะกัน อย่างโปรเจ็กต์ของคมนาคม ภูมิใจไทย ไปทะเลาะกับโปรเจ็กต์ของรัฐมนตรีช่วยที่มาจากอีกพรรค ทั้งหมดมันคือผลประโยชน์ของประชาชน ยิ่งนักเลือกตั้งขัดแย้งและต้องช่วงชิงความนิยมจากประชาชนมากเท่าไร นี่คือผลประโยชน์ของประชาชน เราต้องเอาความคิดของคนขี้แพ้ออกไป” คำ ผกา ระบุ

 

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ