ความรุนแรงในครอบครัว : สาวอังกฤษเผยประสบการณ์ถูกแฟนบังคับควบคุมจนชีวิตเกือบพัง

Home » ความรุนแรงในครอบครัว : สาวอังกฤษเผยประสบการณ์ถูกแฟนบังคับควบคุมจนชีวิตเกือบพัง


ความรุนแรงในครอบครัว : สาวอังกฤษเผยประสบการณ์ถูกแฟนบังคับควบคุมจนชีวิตเกือบพัง

การบังคับควบคุม (coercive control) ถือเป็นความรุนแรงในครอบครัวและความสัมพันธ์ของคู่รักอย่างหนึ่ง แม้บางครั้งความสัมพันธ์รูปแบบนี้อาจไม่ได้ทิ้งบาดแผลหรือรอยฟกช้ำทางร่างกาย แต่ความเสียหายที่เหยื่อได้รับ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ อาจรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการถูกทุบตีหรือทำร้ายร่างกายจากน้ำมือของคนที่รัก

ตอนที่ซาราห์ (นามสมมุติ) อายุ 15 ย่าง 16 ปี เธอได้เริ่มใกล้ชิดกับ แซค (นามสมมุติ) เด็กผู้ชายชั้นปีเดียวกันที่โรงเรียน

หลังจากพูดคุยกันได้ไม่กี่สัปดาห์ เขาก็ชวนเธอไปดูคอนเสิร์ต ตอนนั้นซาราห์รู้สึกประหม่าเพราะไม่เคยไปไหนมาไหนตามลำพัง เธอจึงชวนเพื่อน ๆ ไปด้วย

Woman fending off a man

Getty Images
การบังคับควบคุม ถือเป็นความรุนแรงในความสัมพันธ์ฉันคู่รักอย่างหนึ่ง

“ผมอยากให้เราไปกันแค่สองคน” เธอยังจำคำพูดของแซคได้ เขายื่นคำขาดกับเธอว่าถ้าไม่ไปด้วยกันตามลำพัง ก็จะไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันอีก

ซาราห์เริ่มรู้สึกชอบแซค และเขาก็มักชวนเธอไปไหนมาไหนด้วยกันตามลำพัง เธอรู้ว่าแซคก็ชอบเธอเหมือนกัน ดังนั้นแม้จะรู้สึกกลัวที่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียวตอนกลางคืน แต่ซาราห์ก็ยอมออกไปใช้เวลาร่วมกับเขา

ไม่กี่เดือนต่อมาทั้งคู่ก็กลายเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการ

  • “สามีของฉันเคยเป็นเทพบุตร แต่แล้วเขากลับข่มขืนฉัน”
  • จอง จุนยอง: เหยื่อสาวคลิปแอบถ่ายกับตราบาปที่ตามหลอกหลอนไม่จบสิ้น
  • เธอถูกพ่อบังคับให้ทำจมูกตั้งแต่อายุ 13 และทำแท้งเมื่ออายุ 14
  • “ผมไม่กล้าเลิกแฟนเพราะกลัวเธอจะฆ่าผม”

ก่อนจะออกไปงานสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน ซาราห์มักชอบลองชุดที่จะใส่ไปงาน “ชุดนี้โป๊เกินไป” แซคบอก และด้วยความที่เชื่อความคิดเห็นของแฟนหนุ่ม ซาราห์จึงยอมเปลี่ยนชุด

เวลาที่ซาราห์คุยกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นที่โรงเรียน แซคก็จะเริ่มพูดว่าเธอทำให้เขาหึง

“ไม่อย่างนั้นแล้วเธอจะคุยกับเขาทำไมล่ะ” แซคตัดพ้อ

ซาราห์รู้ดีว่าการพูดคุยดังกล่าวไม่มีอะไรแอบแฝง แต่เธอคิดว่าบางทีแซคอาจเป็นฝ่ายถูก ถ้ามันทำให้เขารู้สึกแบบนั้น

ตอนที่แซคเริ่มทดลองใช้ยาเสพติดเป็นประจำ ซาราห์บอกเขาว่าเธอเป็นห่วงเขา

“เลิกทำตัวบงการเสียที” แซคบอกเธอ

ยิ่งซาราห์ใช้เวลาอยู่กับแซคมากขึ้นเท่าไร เธอก็เริ่มห่างหายไปจากเพื่อนฝูงมากขึ้นเท่านั้น แซคบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติของคู่รักที่เพิ่งคบกัน

“แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ได้ชอบเพื่อนคุณอยู่แล้ว”

ในเวลาต่อมา ซาราห์ค้นพบว่าแซคแอบส่งข้อความถึงเพื่อน ๆ ของเธอเพื่อบอกว่า “ซาราห์เกลียดพวกเธอ และนินทาพวกเธอลับหลัง”

Man making a fist and woman sitting by window with hands raised

Getty Images
แม้การบังคับควบคุมจากคนรัก อาจไม่ได้ทิ้งบาดแผลหรือรอยฟกช้ำทางร่างกาย แต่ความเสียหายที่เหยื่อได้รับ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ อาจรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการถูกทุบตีหรือทำร้ายร่างกาย

เมื่อถึงวัยที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย ซาราห์ได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนในสถาบันที่เธอเลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนแซคตัดสินใจสอบใหม่

“อย่าไปเลย ทำไมคุณถึงจะทิ้งผมไว้ตรงนี้” แซคถามเธอ

เขาแสดงท่าทีไม่อยากให้ซาราห์ไปเรียนมหาวิทยาลัยมากขึ้นทุกที โดยบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่เธอจะไปเรียนต่อ

“มันสิ้นเปลืองเงิน ยังไงผมก็ต้องเป็นคนทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัวอยู่แล้ว…” แซคอ้าง

ซาราห์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 23 ปี บอกว่า ความสัมพันธ์ในช่วง 2-3 ปีแรกกับแซค “ไม่ได้แย่เท่าไหร่”

“ฉันหมายความว่ามันไม่ได้แย่เท่ากับช่วงท้าย ๆ” เธออธิบาย

การบังคับควบคุมจากคนรักคืออะไร

การบังคับควบคุมจากคนรักมักไม่สามารถบ่งชี้ได้ด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในความสัมพันธ์ แต่เป็นหลาย ๆ อย่างรวมกัน ทั้งคำพูด พฤติกรรม คำข่มขู่ การทำให้อับอาย การทำให้โดดเดี่ยว และการควบคุมเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่มีอิสรภาพ และสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง

ผู้ตกเป็นเหยื่อมักอธิบายถึงการถูกทำร้ายทางจิตใจและอารมณ์ว่า เป็นการที่ถูกคู่รักทำลายอิสรภาพและความเชื่อมั่นในตัวเอง จน “สิ่งปกติ” เพียงอย่างเดียวที่คุณรู้จักคือคู่รักที่ทำร้ายคุณ

ธรรมชาติของการบังคับควบคุมคือ การที่ผู้ตกเป็นเหยื่อมักมองไม่ออก หรือยากที่จะมองออกถึงรูปแบบการทำร้ายจากน้ำมือของคู่รัก

“เขาบอกว่าเขาสามารถหักคอฉันได้ ถ้าเขาอยากทำ”

เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการทำร้ายในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ รัฐบาลอังกฤษได้บรรจุเรื่อง “ความสัมพันธ์ศึกษา” ไว้ในหลักสูตรภาคบังคับในโรงเรียนเมื่อเดือน ก.ย.ปี 2020 ซึ่งมีเนื้อหาสอนให้เด็กนักเรียนสามารถบ่งชี้ถึงการทำร้ายด้านร่างกาย จิตใจ และการเงิน ในความสัมพันธ์ของวัยรุ่นและผู้ใหญ่

นี่คือสิ่งที่ซาราห์บอกว่า เธออยากได้เข้าถึงความรู้แบบนี้ก่อนที่จะคบหากับแซค สำหรับเธอแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มจาก “เธอสวยจัง” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น “เธอโชคดีแค่ไหนแล้วที่ฉันยังอยู่กับเธอ เพราะไม่มีใครอยากได้เธอหรอก”

แซคมักบ่นว่าเขาไม่มีเงินซื้ออาหาร ดังนั้น ซาราห์จึงต้องคอยให้เงินจำนวนมากแก่เขา แต่เธอก็ไม่วายที่จะถูกลงโทษ

แซคมักบอกเธอว่า “คุณทำแบบนี้ เพื่อให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองนะสิ”

Domestic violence / abuse concept image **Posed by model

Getty Images
การบังคับควบคุมจากคนรักเป็นการกระทำหลาย ๆ อย่างรวมกัน เช่น คำข่มขู่ การทำให้อับอาย การทำให้โดดเดี่ยว และการควบคุมเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่มีอิสรภาพ และสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง

ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย แซคที่ไม่ได้อยู่กับซาราห์ ยังคงเฝ้าบีบบังคับไม่ให้เธอออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ตอนกลางคืน โดยมักบอกว่า “เธอจะถูกคนแปลกหน้าวางยาและข่มขืน” และมันจะทำให้เขาเป็นห่วงเธอมากจนนอนไม่หลับ

แต่ถ้าซาราห์ยังดึงดันที่จะออกไปเที่ยว ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เธอก็จะได้รับข้อความและสายโทรเข้าจำนวนมากจากแฟนหนุ่มที่ซักไซ้ไล่เลียงว่าเธออยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่

“ฉันเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมหาวิทยาลัยของฉันถูกจำกัดมาก” ซาราห์เล่าถึงความรู้สึกตอนนั้น

“ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถร่วมกิจกรรมต่าง ๆ หรือผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ได้เลย และเพื่อนร่วมหอของฉันต่างคิดว่าความสัมพันธ์ของเราแปลกประหลาด เพราะฉันต้องคอยขออนุญาตเขาตลอดเวลา แต่ตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ เขาโน้มน้าวใจให้ฉันเชื่อว่ามันเป็นเรื่องปกติ”

แต่ก่อนที่ซาราห์จะตระหนักถึงความผิดปกติในความสัมพันธ์นี้ เธอก็เริ่มรู้สึกกังวลกับความปลอดภัยของตัวเอง

ตอนที่เธอจำฝังใจที่สุดคือตอนที่แซคมาหาเธอที่มหาวิทยาลัย เธอออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้เขา และระหว่างที่ทั้งคู่นอนอยู่บนเตียงด้วยกันนั้น จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ผมสามารถหักคอคุณได้ในตอนนี้ ถ้าผมอยากทำ”

ซาราห์บอกว่า พฤติกรรมชอบบีบบังคับของแซคยังลามไปถึงเรื่องบนเตียงด้วย “เขาชอบพูดเรื่องที่เขาดูหนังโป๊ที่มีความรุนแรง”

“ก็คุณไม่ยอมทำในห้องนอนนิ ผมถึงต้องไปหาจากที่อื่น” แซคพูด

ซาราห์บอกว่า รู้สึกกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตตัวเองมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะตอนที่แซคโมโหเขามักทุ่มเก้าอี้ ทุบทำลายข้าวของ และข่มขู่เธอ ราวกับเป็นเรื่องปกติแบบเวลาที่เขาจูบเธอ

“ฉันไม่อยากไปพบหน้าเขาอีกต่อไป ฉันรู้สึกกลัวเขา” ซาราห์กล่าว

แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังคบแซคต่อ จนกระทั่งช่วงปีที่ 3 ในมหาวิทยาลัยที่เพื่อนร่วมหอจับซาราห์มานั่งคุย แล้วบอกว่าเธอเป็นห่วงซาราห์จริง ๆ ว่าความสัมพันธ์ที่บังคับควบคุมแบบนี้จะทำลายชีวิตของเธอในที่สุด

“ฉันไม่มีความสุขเลย และฉันยังไม่รู้ตัว ความสัมพันธ์ไม่ควรทำให้คุณต้องรู้สึกกังขาในตัวเองอยู่ทุกวัน”

“ฉันเฝ้าครุ่นคิดว่า ‘ฉันอยากอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตเหรอ’”

โชคร้ายที่หลายครั้งการทำร้ายในความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้หยุดลงไปพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ยุติไปแล้ว

ความสัมพันธ์ที่แลกด้วยชีวิต

ข้อมูลจาก ดร.เจน มอคตัน สมิธ ผู้เชี่ยวด้านอาชญวิทยาระบุว่า ข้อมูลเมื่อปี 2019 พบว่าในอังกฤษและเวลส์มีผู้หญิงถูกฆาตกรรมจากความรุนแรงในครอบครัวสัปดาห์ละ 2 คน โดยบางรายเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์แบบบังคับควบคุม ซึ่งความสัมพันธ์รูปแบบนี้สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศ

การบังคับควบคุม กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอังกฤษเมื่อปี 2015 ภายใต้ความผิดฐาน “มีพฤติกรรมควบคุม หรือบีบบังคับในความสัมพันธ์แบบคู่รัก หรือความสัมพันธ์แบบครอบครัว”

การที่พฤติกรรมเหล่านี้จะเข้าเกณฑ์ความผิดทางอาญานั้น การบังคับควบคุมที่เกิดขึ้นจะต้องทำให้บุคคลรู้สึกกลัวว่าจะมีการใช้ความรุนแรงต่อพวกเขาอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือทำให้เกิดความกลัวหรือความทุกข์ใจอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

ตอนที่ซาราห์ตัดสินใจบอกเลิกแซค เธอเลือกที่จะบอกเลิกเขากลางถนน เพราะอยากทำในที่ชุมชน เพื่อที่เขาจะไม่กล้าทำร้ายเธอ

ทว่าหลังจากนั้นหลายเดือน แซคยังคงไม่เลิกตามรังควานเธอ

“ถ้าฉันไม่ตอบเขา เขาก็ขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย” ซาราห์เล่า

ตอนที่ซาราห์ตัดสินใจบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของเขา แซคก็บุกไปหาเธอถึงบ้าน และมีครั้งหนึ่งที่บุกไปบ้านแม่ของเธอด้วย

“ฉันตระหนักได้ว่าคงไม่สามารถหลุดพ้นจากเขาได้ จนกว่าฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่น และเขาไม่รู้ที่อยู่ของฉันอีกต่อไป” ซาราห์บอก

เป็นเวลาร่วมสองปีมาแล้ว นับแต่ซาราห์หลุดพ้นจากประสบการณ์เลวร้ายนี้ เธอได้เข้าสังคมแบบหนุ่มสาวทั่วไป และมีความสัมพันธ์ที่มีความสุข และเธอยังบอกว่า เริ่มรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

สัญญาญบ่งชี้การบังคับควบคุมจากคนรัก

ความรุนแรงในครอบครัว : สาวอังกฤษเผยประสบการณ์ถูกแฟนบังคับควบคุมจนชีวิตเกือบพัง

Getty Images

Women’s Aid องค์กรการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว ได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมที่เข้าข่ายพฤติกรรมบังคับควบคุมของคนรักเอาไว้ดังนี้

  • กีดกันคุณออกจากเพื่อนฝูงและครอบครัว
  • ไม่ให้คุณเข้าถึงความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น อาหาร
  • เฝ้าตรวจสอบเวลาของคุณ
  • เฝ้าตรวจสอบคุณผ่านอุปกรณ์สื่อสารทางออนไลน์ต่าง ๆ หรือสปายแวร์
  • ควบคุมเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ เช่น สถานที่ที่คุณไป คนที่คุณพบ เสื้อผ้าที่คุณใส่ และเวลาที่คุณนอน
  • ไม่ให้คุณเข้าถึงบริการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น บริการทางการแพทย์
  • ทำให้คุณรู้สึกต้อยต่ำครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น บอกว่าคุณไร้ค่า
  • ทำให้คุณอับอาย ด้อยค่า และย่ำยีศักดิ์ศรีคุณ
  • ควบคุมด้านการเงินของคุณ
  • ข่มขู่ และทำให้คุณรู้สึกหวาดกลัว

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ