ปัจจุบันนี้การเดินทางทางอากาศได้รับความนิยมอย่างมาก ผู้โดยสารจำนวนมาเลือกใช้เครื่องบินเป็นพาหนะ เพราะทั้งรวดเร็ว ประหยัด และถือว่าปลอดภัยที่สุดในบรรดาการขนส่งทุกประเภท
ย้อนกลับไปเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว การบินถือเป็นสิ่งหรูหราอย่างยิ่ง เฉพาะผู้ที่มีเงินและทรัพย์สมบัติมากมายเท่านั้นที่จะได้สัมผัส แล้วบนเครื่องบินในตอนนั้นมีอะไรบ้าง ห้องโดยสารแตกต่างไปจากตอนนี้มากแค่ไหน?
- ทั้งเสียงดังและอันตราย
จากข้อมูลของสำนักข่าว The Sun ประมาณทศวรรษ 1930 การบินมีไว้สำหรับคนรวยและคนดังเท่านั้น แม้ว่าอุตสาหกรรมการบินจะเฟื่องฟูมากในช่วงทศวรรษนี้ก็ตาม หลักฐานก็คือตั้งแต่ปี 1930-1934 เพียงปีเดียว จำนวนผู้โดยสารในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 6,000 คน เป็น 450,000 คน และเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 1.2 ล้านคนในปี 1938
อย่างไรก็ตาม การบินเมื่อ 100 ปีที่แล้วไม่เหมือนกับในปัจจุบัน ผู้โดยสารได้รับการเตือนเสมอให้คาดเข็มขัดนิรภัยในที่นั่ง เนื่องจากเครื่องบินมักจะตกวูบลงไปหลายร้อยเมตรกะทันหันโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า นอกจากนี้ ผู้โดยสารมักจะรู้สึกหนาวมากเพราะระบบทำความร้อนบนเครื่องบินไม่ทันสมัย และเสียงที่ปล่อยออกมาจากเครื่องจักรยังทำให้หูหนวกและน่ารำคาญอย่างยิ่งอีกด้วย ลูกเรือยังต้องใช้ลำโพงเพื่อ “ตะโกนใส่ผู้โดยสาร” เพื่อให้ทุกคนได้ยิน
ในบางกรณีที่โชคร้าย การเดินทางทางอากาศอาจส่งผลต่อการได้ยินในระยะยาวด้วย ตัวอย่างเช่น การบินของเครื่องบิน Ford Tri-Motor เมื่อเครื่องขึ้นมีระดับเสียงเครื่องยนต์สูงถึง 120 เดซิเบล หรือต่ำกว่าระดับเพียง 40 เดซิเบลที่อาจทำให้สูญเสียการได้ยินอย่างถาวร
พิพิธภัณฑ์อากาศและอวกาศแห่งชาติอังกฤษ เขียนบนเว็บไซต์ว่า “เสียงรบกวนเป็นปัญหาสำหรับเครื่องบินยุคแรกๆ ในการสื่อสารกับผู้โดยสาร ลูกเรือมักจะต้องพูดผ่านลำโพงขนาดเล็กเพื่อกลบเสียงเครื่องยนต์และเสียงลม”
ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 1930 ได้เกิดภัยพิบัติทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดของอเมริกาในขณะนั้น เมื่อเครื่องบินลำหนึ่งพยายามจะกลับไปเม็กซิโก แต่ประสบอุบัติเหตุตกในแคลิฟอร์เนีย คนบนเครื่องบินทั้งหมด 16 คนเสียชีวิต
- ราคาแพงและหรูหรา
แม้ว่าอากาศจะหนาว เสียงดัง และยังเป็นอันตรายต่อผู้โดยสาร แต่การบินในช่วงทศวรรษ 1930 ยังคงมีความหรูหรา และเป็นวิธีอวดความมั่งคั่งสำหรับผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ผู้โดยสารจะได้รับบริการอาหาร 3 คอร์ส ที่จัดวางอย่างประณีตบนโต๊ะปูด้วยผ้าลินินหรูหรา และยังสามารถนอนหลับและผ่อนคลายได้ เพราะเครื่องบินนอนบางลำมีเตียงได้ถึง 20 เตียง
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 เครื่องบินโดยสารสามารถบินได้ในระดับความสูงเกือบ 4,000 เมตร และความเร็วมากกว่า 300 กม./ชม. แต่เที่ยวบินไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ในหลายกรณีหากเข้าสู่เขตอากาศปั่นป่วน เครื่องบินอาจตกลงไปหลายร้อยเมตรในเวลาไม่กี่นาที และแม้ว่าเครื่องบินจะมีห้องน้ำ แต่ผู้โดยสารควรหลีกเลี่ยงการใช้ห้องน้ำหากเป็นไปได้ เนื่องจากยังไม่ชัดเจนว่าการกดชักโครกจะส่งผลต่อเครื่องบินอย่างไร
นอกจากนี้ผู้โดยสารยังต้องอดทนอย่างมากเมื่อเดินทางระยะทางไกล ปัจจุบันหากเดินทางจากลอนดอนไปยังบริสเบน (ออสเตรเลีย) ผู้โดยสารจะเดินทางเพียงประมาณ 22 ชั่วโมง แต่ในขณะนั้นใช้เวลาเดินทางนานถึง 11 วัน โดยมีการลงจอดและขึ้นเครื่องตามจุดต่างๆ ทั้งสิ้น 24 ครั้ง ราคาตั๋วที่คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่า 7 แสนบาท)
ส่วนเที่ยวบินจากลอนดอน (สหราชอาณาจักร) ไปยังสิงคโปร์อาจใช้เวลาสูงสุด 8 วัน โดยมีจุดแวะเติมน้ำมัน 22 แห่ง แยกกันในสถานที่ต่างๆ รวมถึงเอเธนส์ กาซา และแบกแดด ราคาตั๋วอยู่ที่ประมาณ 180 ปอนด์ (มากกว่า 8 พันบาท) เมื่อคำนวณ ณ ราคาปัจจุบัน จะมีราคาสูงถึง 10,900 ปอนด์ (เกือบ 5 แสนบาท)