ข่าวจบย้ำ บิ๊กตู่กลับมา ก็เหมือนเทียนแสงน้อย คนอื่นมองเทียนอื่นที่สว่างกว่านี้ ทุกฝ่ายมองข้ามไปเลือกตั้งแล้ว ขออย่าให้รัฐประหารเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
วันที่ 30 ก.ย. 2565 ข่าวจบ คนไม่จบ! EP31 วิเคราะห์เจาะลึก ถึงพริกถึงขิง จากมุมมอง “อั๋น ภูวนาทและ แขก คำผกา” กับประเด็น เมื่อ ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อ โดยพิธีกรคืออั๋น-ภูวนาท คุนผลิน และคำผกา ลักขณา ปันวิชัย สำหรับวันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก มีคำวินิจฉัย ปม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเริ่มนับปี 2560 ดังนั้นจึงไม่อยู่เกิน 8 ปี ตามที่มีคนร้อง วันนี้พูดอะไรไม่ออกเลย อ่านข่าว ด่วน! ศาลรธน.เสียงข้างมาก มีคำวินิจฉัย ปม ‘ประยุทธ์’ นายกฯ 8 ปี เริ่มนับปี 2560
คำผกาเผยว่า วันนี้ตนอยู่เชียงใหม่ มีพ่อค้าแม่ค้ามาถามระหว่างฟังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ด้วยอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด ทุกคนสงสัยว่าทำไมถึงคำวินิจฉัยถึงซับซ้อนแบบนี้ ประชาชนก็ไม่ได้เข้าใจกับเทคนิกกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งวันนี้ก็คงมีคนที่ดีใจอยู่แล้ว
อั๋นเผยว่าถ้าเป็นเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ เราจะมีความคิดเห็นอย่างไร ส่วนตัวก็คิดว่าอารมณ์ก็ยังเหมือนเดิม
คำผกาเผยว่านับตั้งแต่พรุ่งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยกเลิกไปแล้ว ข้าราชการเกษียณอายุตัวเองไปแล้ว ผังทางอำนาจอาจถูกปรับเปลี่ยนหลังจากนี้ การกลับมาของพล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่ 3 ต.ค.นี้ ตนมองว่าจะเป็นการปรับทางนิตินัย แต่ไม่ใช่นายกทางพฤตินัย เพราะองค์คาพยพในการบริหารประเทศ ได้เข้าสู่โหมดเบอร์ 5 ประหยัดพลังงานไปแล้ว ทุกคนมองข้ามช็อตไปที่การเลือกตั้งไปแล้ว รัฐมนตรีที่จะต้องไปหาเสียงก็ปิดจ็อบไปแล้ว ไม่มีใครยอมเปลืองตัวทำอะไรอีก
ทุกคนจะรักษาเก้าอี้ จนกว่าจะถึงการเลือกตั้ง หากทำบุ่มบ่าม ก็จะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียง ประชาชนคนไทยจงเตรียมใจ เราจะอยู่ในประเทศที่ประหนึ่งไม่มีฝ่ายบริหาร ภาคเอกชนก็จะดีลกับข้าราชการแบบขยิบตาว่าจะทำอะไรบ้าง
เราจะอยู่แบบนี้ไปจนกว่าจะถึงเลือกตั้ง และกกต.ก็จะงงทุกมิติ ว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ และเราจะอยู่ภายใต้ระบบข้าราชการ ซึ่งก็ต้องลุ้นว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอม 4 ปี หรือยุบสภาก่อน
ทีแรกก็คิดว่าพล.อ.ประยุทธ์จะอยากอยู่จนถึงช่วงเอเปค ซึ่งมันไม่เหมือนที่คาดฝัน ปธน.โจ ไบเดน สหรัฐอเมริกาไม่มา วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียก็ไม่มา ทางสี จิ้นผิง ประธานประเทศจีนก็จะไม่มา และก่อนหน้านี้จะมีเอเปค ก็มีประชุม G-20 ที่อินโดนีเซีย ผู้นำก็ไปเจอกันแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาไทยอีก
ดังนั้นเอเปคก็จะไม่เป็นไปอย่างที่หวัง และอาจนำความขายขี้หน้ามาให้ ทำให้ปิดงานไม่สวยเลยก็เป็นไปได้ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะเป็นนายกฯตัดริบบิ้นจนกว่าจะถึงเลือกตั้ง มีคนติดตาม อวยยศเหมือนเดิม แต่ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ในฐานะนายกจริงๆ อีกต่อไป
ขั้วอำนาจต่างๆ มันก็เหมือนเทียนที่แสงน้อยลง ดังนั้นดาวเคราะห์ที่หมุนรอบเทียน ก็จะไปหมุนรอบเทียนที่สว่างกว่า ตอนนี้ก็จะดูว่าเทียนเล่มไหนที่สว่าง พอให้ดาวเคราะห์หมุนรอบ มันจึงมีเทียนเล่มใหม่ๆ เยอะมาก
พล.อ.ประยุทธ์จะได้เป็นนายกฯต่อ แต่เป็นเทียนที่จะหมดเล่มแล้ว ซึ่งใครจะมาจุดแสงให้ใหม่ไหม ทางพรรคการเมืองก็คงเสนอคนอื่น พรรคพลังประชารัฐก็อาจจะเสนอพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้วด้วยรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่ ต้องได้ที่นั่งส.ส. ทั้งหมด 25 ที่ ถึงจะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้
“มองไปทางซ้ายทางขวา ก็ไม่น่ามีใครจะเสนอพล.อ.ประยุทธ์”
คำผกาย้ำว่า บุคคลคนหนึ่งไม่ควรดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี ไม่ว่าจะเอาเครื่องคิดเลขไหนมานับ ก็พบว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจในปี2557 และนับอย่างไรก็ครบ 8 ปี ซึ่งถ้าเราเป็นชาวบ้านก็จะคิดแบบง่ายๆ แต่ถ้าเป็นนักกฎหมายสามารถคิดได้ 3 แบบ นับปี 2557 นับปี 2560 ซึ่งนับวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ หรือปี 2562 ซึ่งนับตอนเป็นแคนดิเดตนายก
ทั้งนี้เราตีความได้หลายทาง คำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็มี 3 ท่านที่วินิจฉัยว่าพล.อ.ประยุทธ์ควรจะพ้นจากตำแหน่ง เราก็เห็นต่างเหมือนกับองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เห็นต่างจากเสียงส่วนมาก ส่วนตัวเราเห็นว่าไม่ควรนับในปี 2560 ได้ เพราะการอยู่ตำแหน่งนาน เพราะพวกคุณก็กลัวจะอยู่ในอำนาจทำให้เกิดการฉ้อฉล ไม่เป็นธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน อันเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นตามเจตนารมณ์ว่าไม่ควรอยู่นานเกินไป ดังนั้นหากมองตามนี้ ก็จะเห็นว่าครบแล้ว ไม่ควรอยู่เกินจากนี้ ถ้าอยู่นานไป ก็จะเข้าข่ายวางฐานอำนาจเหนียวแน่นเกินไป ซึ่งเป็นข้อกังวลที่พวกคุณคิด ไม่ใช่ตน และการตีความกฎหมาย มันก็แตกต่างกันไป เช่นพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยื่นแสดงทรัพย์สิน ก็ตีความว่า ยื่นไปแล้วในปี 2557 ในปี 2562 ไม่ต้องยื่นอีก โดยบอกว่าเป็นนายกฯต่อเนื่อง แต่ทีตีความเรื่องนี้ กลับไม่ตีความว่าเป็นต่อเนื่อง
เรื่องนี้ทำให้คนไม่มีความสุข ไม่ใช่แค่พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นต่อ แค่เป็นอีกไม่กี่เดือน มันไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เราหรอก ความลำบากใจแรก คือ คนก็มองว่ารอด ซึ่งมันไม่ดี และเรากำลังมองมาตรฐานความยุติธรรมให้กลายเป็นปกติในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งเหมือนเรามองเรื่องการใช้เส้นสาย จ่ายส่วย เรื่องอภิสิทธิ์ชนแบบนี้ระหว่างผู้ไร้อำนาจกับผู้มีอำนาจ ทุกคนก็รู้ว่าผู้มีอำนาจจะรอด ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ควรรอด แต่ก็พนันว่ารอด
สิ่งนี้ถูกทำให้มันเป็นปกติ ซึ่งพวกเรามีส่วนในการออกใบอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะเราจำนนต่อมันโดยปริยาย เรื่องต่อมา คือเราไม่ปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของเราเลย ถ้าต้องไปอยู่ในความขัดแย้งเหล่านี้ และถูกตัดสิน ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความยุติธรรมจริงไหม ลึกๆ แล้ว คนกังวลมากกว่าเรื่องอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ด้วยซ้ำไป
อั๋นย้ำว่า เราอยู่ด้วยความกลัว ถ้าระบบทำงาน เราก็จะรู้สึกปลอดภัย ว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็จะไม่ถูกบอกว่าผิด
คำผกาย้ำว่า สังคมแบบนี้ มันทำให้ตัวเราไม่สง่างาม เราไม่สามารถเดินได้ด้วยความรู้สึก ฉันไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ถ้ามันไม่ผิดกฎหมาย เหมือนหลังปีรัฐประหาร 2557 มีคนถูกประกาศไปรายงานตัว แล้วเข้าปรับทัศนคติ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ทำอะไร อยู่กี่วัน ออกกี่วัน มันเป็นบรรยากาศความกลัว เวลาไปต่างประเทศ เรามีความรู้สึกแตกต่างกว่านี้ ใช้ชีวิตได้ผึ่งผาย ไม่กลัว แตกต่างจากตอนอยู่ในไทย
“เวลาเราพูดความจริงในประเทศนี้ ทำไมต้องพูดเสียงเบาๆ มองซ้ายมองขวา”
เรื่องนี้มันทำลายความเป็นคนของเราขนาดไหน ทั้งที่มันเป็นเรื่องพื้นฐานของเรามากๆ
ส่วนตัวตนไม่ได้เดือดร้อนใจกับการอยู่ต่อกับพล.อ.ประยุทธ์ แต่การโอบรับความผิดปกติในชีวิต เช่นการชนะเลือกตั้งของเพื่อไทย ที่อบจ.ร้อยเอ็ด ก็มีคนมองว่าไม่ได้เลือกตั้ง เพราะจะมีรัฐประหารแน่ เขาประสบความสำเร็จในการทำให้เรายอมจำนน ว่ารู้ทั้งรู้ว่าไม่ถูกต้อง แต่เราก็รับความคิดนี้ เพราะรู้ว่ามันจะทายถูกมากกว่าทายผิด คนพยากรณ์การเมืองจึงทายถูก เหมือนฉลาด เหมือนเจ๋ง ซึ่งมันทำให้เรื่องที่ไม่ควรทำ เกิดขึ้นได้
สิ่งนี้ทำให้เราไม่อาจช่วยกันในการพูดว่า ใครชนะเลือกตั้งก็ไม่ควรมีรัฐประหาร เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำแบบนี้อีก เพื่อแลกกับการไม่ต้องเป็นแก้วรอบรู้อีก
ในไทยนั้น มันมีสิ่งน่าสนใจในมิติแรก คือมีเรื่องเล่าที่สถาปนาตัวเองเป็นเรื่องเล่ากระแสหลัก ในกระแสสำนึกของคนไทย คือช่วง 70 ปีที่ผ่านมา ถูกทำให้เชื่อว่าการทำรัฐประหารเป็นทางออกในปัญหาการเมือง นักการเมืองทะเลาะกัน มีการฉ้อฉล ประเทศเศรษฐกิจย่ำแย่ จะไม่มีใครมาช่วยชุบชีวิตได้เท่ากับทหารหาญผู้กล้า เราเลยมีสำนวนชายชาติทหาร เราปรับสำนวนเหล่านั้นมาเป็นเรื่องเล่าหลักของเรา
เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คนไทยจำนวนมากมีแนวคิดแบบนี้ กลุ่มที่ 2 คือแก้วรอบรู้ ว่าสู้ไปก็เท่านั้น พวกทหารก็จะมารัฐประหาร จะชนะการเลือกตั้ง บริหารประเทศไปสักพัก ก็โดนยึดอำนาจ รู้หมด ไม่เคยกลัวอะไร นอกจากกลัวว่าตัวเองไม่ฉลาด
2 สิ่งนี้ทำให้กองทัพรู้สึกว่าสามารถทำการรัฐประหารได้ตลอดเวลา ไม่เหนือความคาดหมาย รู้ว่าทำได้ และมีคนรอให้ทำ และไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย มันเป็นใบอนุญาตให้ทำได้
ดังนั้นเราเป็นคนไร้เดียงสาว่าการรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้น เพราะมันจะเป็นอาชญากรรม กองทัพต้องปกป้องประชาธิปไตย เขาจะไม่มีวันทำ สร้างวิธีคิดใหม่ ต่อให้ทหารทำ แต่ประชาชนต้องบอกว่าทำอย่างไร ถ้าให้เราพูดว่า ก็ว่าแล้ว ยังไงก็ทำ มันเหมือนใบอนุญาตให้กองทัพทำ
คนที่ด่าพล.อ.ประยุทธ์ แล้วทำเนียนลืมว่า เคยไปบิ๊กคลีนนิ่ง แล้วมาสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอดีตว่าเคยเป็นคนหนุนการรัฐประหาร การที่ความคิดเราเปลี่ยน ไม่ควรลบอดีตออก ไม่ต้องเนียนลบ แล้วเล่นใหญ่เพราะกลัวคนรู้ว่าเคยทำอะไรในอดีต ตนรับไม่ค่อยได้ในเรื่องนี้
อั๋นบอกว่า ตนก็โพสต์ขอโทษ เพื่อตัวฉันเอง ที่เราเคารพ ทำให้ภูมิใจในเรื่องนี้ เหมือนตนแชร์ข่าวลือโดยไม่เจตนา ก็ต้องตามไปขอโทษที่ทำ เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าแชร์ข่าวผิด ข่าวลือ ทิ้งโพสต์นี้ไว้ 48 ชั่วโมงเพื่อลบ คนเราเปลี่ยนได้ แต่อย่าหลอกตัวเอง
ตนอยากย้ำว่า ในอินโดนีเซียมีการซื้อเสียงในการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา แต่ก็มีความเข้มแข็งในระบอบประชาธิปไตย ปัจจัยที่ทำให้เขาก้าวหน้า เพราะมีการเลือกตั้งทุกระดับ กกต.ทำงานเข้มแข็ง ประชาชนให้ความเชื่อมั่นมาก เขาเอาทรัพยากรไปจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จ คนไปเลือกตั้งเกือบ 80%
เขาตระหนักว่าไม่มีกติกาเลือกตั้งไหน ที่ไร้ที่ติ มันจะมีได้อย่างเสียอย่าง ควรมาดูว่าเราควรจะมุ่งเน้นอะไร เช่นจัดการเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ มากกว่าจะไปมุ่งกวาดผิดที่ ถ้าจะเสร่อและโง่ก็คู่ควรแล้ว