ก้าวไกลพร้อมลั่นกลองรบ ชูผู้นำร่วมสมัย-นโยบายร้องว้าว
จากสถานการณ์การเมืองที่รุมเร้ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในปีนี้
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล สะท้อนมุมมองต่อสถานการณ์การเมืองที่จะเกิดขึ้น ทั้งปัจจัยการ ยุบสภา การเลือกตั้งใหม่ รวมถึงกลยุทธ์หาเสียงเลือกตั้ง และความเคลื่อนไหวของมวลชน
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เหมือนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งปกติ เพราะหากเป็นรัฐบาลปกติ คงจบไปนานแล้วจากวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มีระบบค้ำจุนอำนาจ ทั้ง 250 ส.ว. ระบบของศาลอัยการที่จะพยุงให้อยู่ต่อไป แต่สิ่งที่พอจะฟันธงได้ คือ ความไม่เป็นเอกภาพของฝั่งรัฐบาล ซึ่งภาพที่ออกมาก็ไม่ดีนัก
ฉะนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า ภายในปีนี้จะมีการ เลือกตั้งเกิดขึ้น
แต่รัฐบาลเองคงอยากอยู่ครบเทอมถึงปี 2566 แต่จะทำได้หรือไม่ ปัจจัยอยู่ที่ความสุกงอมของรัฐบาล ความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นของฝ่ายรัฐบาลและส.ว. หรือ การแตกคอกันเองของฝ่ายผู้มีอำนาจ แต่ผมคิดว่า การ ยุบสภาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขามั่นใจว่าจะชนะ เมื่อกติกา เลือกตั้ง 400 เขตเสร็จ เมื่อมีการย้ายข้าราชการที่สำคัญเพื่อให้การเลือกตั้งได้เปรียบ
■ การตีความวาระนายกฯ 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบวาระหรือไม่
มาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญฉบับเฉพาะกาล ระบุว่าสิ่งที่ คสช. ได้ทำมาเหมือนเป็น ครม.ไปในตัว จึงขึ้นอยู่กับการตีความว่าจะนับตั้งแต่ปี 2557 หรือปี 2560 แต่ไม่ใช่ปี 2562 แน่นอน ซึ่งการตีความกลับไปตั้งแต่ ปี 2557 น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะนั่นคือจุดกำเนิดของ คสช. และในเมื่อหลายๆ คำสั่งของ คสช. กลายเป็น พ.ร.บ. ก็ควรนับตั้งแต่ตอนนั้น
เรื่องนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญ แต่เราต้องจับตามองกระบวนการและวิธีการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่า ที่ผ่านมามีความยุติธรรมมากน้อยแค่ไหนในการตีความ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับจริยธรรม สามัญสำนึก และความแม่นยำของตาชั่งของศาลรัฐธรรมนูญ
ผมเชื่อว่าทุกคนอยากให้ยุบสภาโดยเร็ว ซึ่งต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่ต้องคิดหนัก เพราะ เป็นเรื่องการเสียสละให้กับประชาชน เมื่อตอบสนองประชาชนไม่ได้ ก็วางอีโก้ลงและเสียสละให้คนที่เขาทำได้ เข้ามาบริหารประเทศจะดีกว่า
■ เตรียมความพร้อม วางกลยุทธ์เพื่อชนะการเลือกตั้งอย่างไร
พรรคก้าวไกลเตรียมพร้อมมาตลอดตั้งแต่ปี 2562 สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ ครั้งนี้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น มีการสรรหาว่าที่ผู้สมัครที่เข้มแข็ง ทั้งการทำงานและอุดมการณ์ เรามีเวลาลงพื้นที่ ไม่ใช่แค่อ่านใบสมัครหรือสัมภาษณ์ แต่ลงพื้นที่จริง ทำงานจริง มีโอกาสเทรนด์ว่าที่ผู้สมัคร เมื่อมาเป็น ส.ส.แล้วจะทำงานได้ทันที
ถ้าเราชนะการเลือกตั้งและได้เข้าไปเป็นฝ่ายบริหาร ผมและทีมงานก็พร้อมเข้าไปบริหารทันที ซึ่งมีความพร้อมกว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่มาก เราทำงาน เหมือนเดิม แต่หนักขึ้น ลึกขึ้น กว้างขึ้น และคมขึ้น
ส่วนนโยบายนั้น เกี่ยวกับการทลายทุนผูกขาด เป็นเรื่องของโครงสร้าง เช่น ทำให้เกษตรกรสามารถเอาผลผลิตที่ต้องนำไปทิ้งเมื่อราคาตกต่ำ มาแปรรูปเป็นสุรา หรือทำให้เกิดการท่องเที่ยวชุมชนได้ แน่นอนว่า ครั้งนี้ยังต้องเขย่าโครงสร้างเหมือนเดิม นโยบายที่ออกมาจะทำให้ประชาชนรู้สึกเซอร์ไพรส์ และร้องว้าว เพราะมีทั้งกองหน้า กองกลาง และกองหลัง
แน่นอนว่า กองกลางและกองหลัง เป็นสิ่งที่ทำได้ภายใน 2 ปีหลังจากเป็นรัฐบาล หรือเป็นเทอมสองของรัฐบาล ซึ่งจะยังเขย่าโครงสร้าง กระจายอำนาจ ทลายทุนผูกขาด และทำรัฐสวัสดิการ ขณะเดียวกันจะมีนโยบายกองหน้า แก้ปัญหาระยะสั้นเฉพาะหน้า ผมเข้าใจว่าเรื่องประกันราคาหรือจำนำราคา ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่เรา จะไม่จำกัดแค่นั้น เราจะดูที่ต้นทุนของเกษตรกร ดูที่ความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรด้วย เพื่อให้การประกันและจำนำอย่างชาญฉลาดมากขึ้น ตอบโจทย์กับความต้องการของสินค้าโลกมากขึ้น
ทั้งนี้จะมีคีย์แมนในพรรค ทำนโยบายเรื่องแรงงาน เกษตรกร เอสเอ็มอี คนจนเมือง ผู้สูงอายุ คนที่มีความหลากหลายทางเพศ และพี่น้องชาติพันธุ์ ซึ่งคงจะมี นโยบายที่ไม่เหมือนพรรคอื่น นอกจากจะมีนโยบายระดับประเทศแล้ว เวลาหาเสียงแต่ละพื้นที่ก็จะมีความเฉพาะเจาะจงแต่ละภาคมากขึ้น ออนท็อปจากนโยบายที่เป็นระดับประเทศด้วยซ้ำ เรียกว่าจะครบเครื่องมากยิ่งขึ้น
■ สาเหตุที่เลือกประกาศปักธงในภาคอีสาน ขณะที่หลายพรรคก็เลือกปักธงที่นี่เช่นเดียวกัน
ยืนยันว่าเราให้ความสำคัญทุกภาคเท่าเทียมกัน เพียงแต่ในการปักธงหรือเปิดตัว คิดว่าภาคอีสานเหมาะสมที่จะเปิดแคมเปญในการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ขอนแก่น เขต 1 เคยเป็นพื้นที่ของเรามาก่อน จึงต้องการส่งสัญญาณว่าเราพร้อมสู้เพื่อคนอีสานและทวงพื้นที่เก่าของเราคืนด้วย
■ แม้ได้รับเสียงข้างมาก มั่นใจแค่ไหนว่าจะฝ่าด่าน ส.ว.ไปได้
ผมคิดว่าอยู่ที่ความชอบธรรมของคะแนน ถ้าประชาชนไม่ชอบ ส.ว. แล้วโหวตให้พรรคก้าวไกลเยอะๆ ทำให้พรรคเราแลนด์สไลด์ ซึ่งการเมืองที่เราต้องการคือ การเมืองที่บริสุทธิ์และทำงานจริง ไม่ใช่แค่เล่นการเมืองด่ากันไปมา แต่แก้ปัญหาได้จริงๆ ผมคิดว่าต้นทุนของ ส.ว.ที่จะทำเหมือนปี 2562 มันเปลี่ยนไปทั้งภายในสภาและปัจจัยนอกสภา
ฉะนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากตัวเลขสูงพอ และส.ว. ขัดเจตจำนงของประชาชนอีกรอบ เชื่อว่าคราวนี้ประชาชนไม่ยอมง่ายๆ เหมือนครั้งแรก ความอดทนของประชาชนมีขีดจำกัดพอสมควร
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งปี 2562 กับครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น มองว่าแตกต่างกันพอสมควร การเตรียมงาน มีเวลามากขึ้น การกระจายงานให้ทุกคนที่มีศักยภาพสามารถฉายพลังออกมาได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องผูกกับซูเปอร์แมนเพียงไม่กี่คน การทำงานให้เป็นสถาบันมากขึ้น การบริหารพรรคมีความพร้อมมากขึ้น
ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องยอมรับว่า ความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เหมือนเดิม และพฤติกรรมในรัฐสภา ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและส.ว.ได้รับการเปิดโปง ซึ่งประชาชนเห็นได้ชัด เมื่อทั้ง 2 ปัจจัยมารวมกับนิวโหวตเตอร์ที่จะได้เลือกตั้งเป็นครั้งแรก ความตื่นตัวของคนไทยที่อยู่ต่างประเทศที่ต้องการโหวตมากขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของ กกต. จะทำให้เสียงของทุกคนไม่ตกน้ำ
นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่เริ่มเข้าใจว่าเงิน 1-2 พันบาทกับการมี ส.ส.มาดูแลเรื่องกฎหมาย พาเขามาที่สภา ให้เขาได้มีโอกาสพูดกับคนที่มีอำนาจ เพื่อต่อสู้กับนิคมของตัวเอง เช่น กรณี อ.จะนะ จ.สงขลา ผมคิดว่าเขาเริ่มพอเห็นภาพแล้วว่า การมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง มีนักการเมืองเป็นของตัวเอง มี ส.ส.ที่เรียกใช้ได้ทุกเมื่อ สอนให้เขาจับปลามากกว่าเอาปลาให้เขา มีคุณค่ามากกว่าเงิน 1-2 พันบาท
ผมคิดว่าการซื้อสิทธิ์ขายเสียง จะลดน้อยลงไปมาก แต่ที่สำคัญสุดต้องถามว่า หน่วยงานของรัฐที่ดูแลการเลือกตั้งทำอะไรอยู่ ถึงยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ ทั้งที่ประชาชนยอมรับการซื้อสิทธิ์ขายเสียงน้อยลงทุกที
■ มวลชนจะเคลื่อนไหวรุนแรงมากขึ้นหรือไม่
จากพฤติกรรมของรัฐบาล จะเห็นว่าไม่ประนีประนอม ขณะที่ความอดทนอดกลั้นของมวลชนน้อยลงทุกที อย่างกรณีพี่น้องจะนะรักษ์ถิ่นเพิ่งมาถึง ก็ถูกฉีดน้ำไล่แล้ว นี่เป็น สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ รวมถึงการใช้ งบประมาณของประเทศ สร้างข่าวปลอม ใช้ไอโอมาทำลายคู่ต่อสู้ คน ถือกฎหมายแต่ไม่เคารพกฎหมายและใช้กฎหมายมาเล่นงานฝ่ายตรงข้าม การเอารัฐธรรมนูญมาทำลายผู้อื่นและทำให้ตัวเองได้เปรียบทางการเมือง พวกนี้คงจะยังมีต่อไป
เรื่องนี้มีราคาที่ต้องจ่ายกับประชาชน กับอนาคตของชาติ กับต่างชาติที่ดูเราอยู่ ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำแนะนำของสหประชาชาติ กับข้อกังวลใจของประเทศที่มีการลงทุนในไทยจำนวนมาก โดยต้องเข้าใจว่า ตอนนี้เรื่องสิทธิมนุษยชนกับการค้าขายคือเรื่องเดียวกัน ถ้าไม่เคารพสิทธิมนุษยชน การค้าขายระหว่างประเทศ จะถูกกีดกันมากขึ้น
ดังนั้น หากไม่ยอมปรับเปลี่ยน ไม่ยอมประนีประนอม ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย มันจะขัดแย้งทั้งคน รุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ คนในประเทศกับคนนอกประเทศ คราวนี้ประเทศไทยจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ จึงยังไม่สายที่รัฐบาลจะเลิกทำสิ่งที่ทำอยู่ เอาประเทศไทยเข้าสู่ระบบสากล อย่าเห็นคนในชาติเป็นศัตรู อย่าสร้างวาทกรรม อย่าใช้ไอโอเหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม
หากเราเข้าใจว่าความรู้สึกของยุคสมัยมันต่างกัน คิดถึงตัวเองตอนเป็นเยาวชนก็เป็นแบบนี้ หากคิดได้และให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย ให้เกิดการพูดคุยกัน เราจะได้มีสมาธิ ไปปฏิรูปอย่างอื่น เพราะหากการเมืองนิ่ง มีเสถียรภาพ จะได้ไปปฏิรูปเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม แรงงาน กองทัพ สังคมสูงวัย ความท้าทายต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา พวกเราจะได้มีสมาธิปรับประเทศให้เกิดขึ้นได้ใน 10-20 ปีอย่างที่ประเทศเกาหลีใต้เคยทำได้มาแล้ว
ผมเป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่ร่วมสมัย เพราะเข้าใจความรู้สึกของยุคสมัยคนที่มาก่อนรุ่นผม และเข้าใจคนมาหลังที่ความรู้สึกของยุคสมัยก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ถ้ารัฐเป็น เจ้าภาพ เลิกแบ่งคนเป็นก้อนๆ และใช้ความอดทนอดกลั้นรับฟังความเห็นต่าง ไม่ว่าจะเรื่องสังคม การเมือง เศรษฐกิจ เอาความคิดข้างนอกมาไว้ข้างใน ไม่ใช่เอาความคิดข้างในไปไว้ข้างนอกอย่างเดียว ผมคิดว่าไม่สายเกินไปที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ในประเทศไทยได้