อยู่ในวงการมานานกว่า 10 ปี สำหรับนักแสดงสาวหน้าใส แพรว เฌอมาวีร์ นั่งนับไทม์ไลน์ในชีวิตช่องมากสี รับบทเรียบร้อยแสนดีจนแฟนละครลืม งานนี้พลิกชะตาชีวิตข้ามมาเล่นร้าย สงครามสมรส บทเดียวดังเปรี้ยงปร้าง ต่อด้วยบทร้อนรักซีรีส์ ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว เป็นที่พูดถึงในวงกว้างหนักมาก
กว่าจะประสบความสำเร็จฮอตในโซเชียล สาวแพรว ถึงกับจิตตกเจอสถานการณ์ เบิร์นเอ้าท์ (หมดไฟในการทำงาน) จนกลายเป็นคนอินโทรเวิร์ต โรคส่วนตัว ณ จุดนี้สาวกระแสแรง แพรว เฌอมาวีร์ ขอเคลียร์มาเปิดใจกลางรายการ โต๊ะหนูแหม่ม ตอบทุกเรื่องราวกับพิธีกรตัวแม่ “หนูแหม่ม สุริวิภา” เทหมดหน้าตัก
ย้อนถามถึงจุดเริ่มต้นงานในวงการเริ่มจากอะไร ?
“แพรวจากการเป็นแดนเซอร์ประกวดในรายการชิงช้าสวรรค์ตั้งแต่ ม. 1 ตอนนั้นยังไม่สวย ฟันเหยินอยู่เลย แล้วตอนนั้นได้รับโอกาสจากช่างแต่งหน้าในรายการ เขาทำคอสตูมอยู่กับ พี่พชร์ อานนท์ ตอนนั้น พี่พชร์ มีโปรเจกต์ตามหาแดนเซอร์ไปเต้นประกอบหนัง เขามั่นใจว่าเอาเด็กๆ ทีมนี้ไปเต้นได้แน่นอน แล้วพอพี่พชร์เห็นแพรว เขาก็บอกว่าให้เอาเด็กคนนี้ออกมา มาเดินในกลุ่มเพื่อนนางเอกด้วย ให้มีบทพูดคำสองคำ ได้มาวันละ 500 ตอนนั้นทำอยู่ 4-5 คิว มันนานมากแล้วจำไม่ได้ค่ะ ตอนนั้นก็ดีใจมากที่ทำงานมาแล้วอาทิตย์นั้นไม่ต้องขอเงินป๊า เรามีเงินจ่ายค่าขนม ค่ารถเมล์เราก็ดีใจ”
เงิน 500 บาท สามารถเปลี่ยนความคิดเราได้ไงบ้าง ?
“ตอนนั้นมันรู้สึกว่าเราจะไม่ต้องขอเงินที่บ้าน แอบคิดว่าถ้ามีอะไรเข้ามาแบบนี้คงช่วยแบ่งเบาที่บ้านได้บ้าง แต่ยังไม่คิดคาดหวังว่าเราจะเป็นดาราได้ เราแค่คิดว่าจะไปเวย์รับจ้างไปกับทีมเต้นเรานี้แหละ”
หลังจากนั้นได้รับโอกาสอะไรอีกบ้างจนได้เข้าสู่วงการ ?
“พอพี่พชร์ อานนท์ได้เห็นเรา มีโปรไฟล์เราแล้ว ตอนนั้น ป๋าโน้ต เชิญยิ้ม เขามีโปรเจกต์ที่หานางเอกผู้หญิงไปเล่นเป็นนางเอกหนัง เขาเลยไปหาจากพี่พชร์ ซึ่งป๋าเขาจำได้ว่าเราเคยเต้นในรายการชิงช้าสวรรค์ เขาเลยเลือกเราไปเล่นหนัง กองพัน ครึกครื้น ท.คึกคัก เป็นหนังที่เล่นเต็มตัวครั้งแรกในชีวิตประมาณ ม.5-6”
จนเรามาได้เล่นละครหลายเรื่องแต่คนยังจำหน้าไม่ได้ ?
“ด้วยบทที่มันได้รับ อาจจะไม่มีคนสะกิดจำได้ ส่วนมากเขาจะติดภาพว่าต้องเรียบร้อย เป็นครูเป็นพยาบาล เอะอะเรียบร้อย ร้องไห้ ไม่สู้คน บทจะประมาณนี้ จนเรารู้สึกว่าเราเล่นแต่เรียบร้อยจนติดเป็นอาชีพ มันทำให้เราอยู่ในภาวะเบิร์นเอ้าท์ไปช่วงนึง (ภาวะหมดไฟในการทำงาน) เป็นอยู่ประมาณปีสองปีเลย มันเหมือนทำอะไรซ้ำๆซากๆ”
พอเจอภาวะหมดไฟ ทำให้เราเจอปัญหาอะไรต่างๆตามมาอีกบ้าง ?
“มันทำให้เรากลับไปคิดและคุยกับตัวเอง และเป็นอินโทรเวิร์ต ทำให้เราคิดว่าเราต้องการอะไรจากอาชีพการงานนี้นะ คือเราเข้ามาทำงานตรงนี้ได้เพราะโชคชะตานำพาเรามา แต่แพรวไม่เคยถามตัวเองจริงจังเลยว่าแพรวรักในสิ่งตรงนี้ไหม จนเรารู้สึกว่าเรารักในการแสดง ที่เราเบิร์นเอ้าท์เราอยากได้อะไรที่มันท้าทายมากกว่านี้ และพาเราไปไกลกว่านี้ และเราเป็นนักแสดงอยากได้การยอมรับ และเราอยากได้ยินเสียงปรบมือ”