นับถอยหลังเหลืออีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 16 หรือ ยูโร 2020 ก็จะระเบิดศึกขึ้นแล้ว
สำหรับยูโรครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการแข่งขันใน 11 เมืองกระจายทั่วทวีปยุโรป เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 60 ปีของการแข่งขัน ซึ่งเดิมทีจะมีกำหนดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน ถึง 12 กรกฎาคม 2020 แต่สุดท้ายก็เลื่อนมาจัดในวันที่ 11 มิถุนายน ถึง 11 กรกฎาคม 2021 แทน เนื่องจากวิกฤติโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลกนั่นเอง
โดยทัวร์นาเมนต์จะจัดขึ้นใน 11 เมืองใน 11 ประเทศสมาชิกยูฟ่า ซึ่งแต่ละเมืองจะเป็นเจ้าภาพในจัดการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด และอีก 1 นัดในรอบ 16 ทีมหรือรอบรองชนะเลิศ โดยการจัดสรรการแข่งขันสำหรับทั้ง 12 สนามมีดังต่อไปนี้
– รอบแบ่งกลุ่ม, รอบ 16 ทีม, รอบรองชนะเลิศ, รอบชิงชนะเลิศ : ลอนดอน (อังกฤษ)
– รอบแบ่งกลุ่ม, รอบก่อนรองชนะเลิศ : มิวนิก (เยอรมนี), บากู (อาเซอร์ไบจาน), เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก (รัสเซีย), โรม (อิตาลี)
– รอบแบ่งกลุ่ม, รอบ 16 ทีม : โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก), บูคาเรสต์ (โรมาเนีย), อัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์), เซบียา (สเปน), บูดาเปสต์ (ฮังการี), กลาสโกว์ (สกอตแลนด์)
โดยเมืองเจ้าภาพนั้นแบ่งออกเป็น 6 การจับคู่ โดยอิงตามพื้นฐานของความแข็งแกร่งด้านการกีฬา, การพิจารณาทางภูมิศาสตร์ และข้อจำกัดด้านความปลอดภัยหรือการเมือง ดังนี้
– กลุ่มเอ : โรม (อิตาลี) และ บากู (อาเซอร์ไบจาน)
– กลุ่มบี : เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก (รัสเซีย) และ โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก)
– กลุ่มซี : อัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) และ บูคาเรสต์ (โรมาเนีย)
– กลุ่มดี : ลอนดอน (อังกฤษ) และ กลาสโกว์ (สกอตแลนด์)
– กลุ่มอี : เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก (รัสเซีย) และ เซบียา (สเปน)
– กลุ่มเอฟ : มิวนิก (เยอรมนี) และ บูดาเปสต์ (ฮังการี)