กมลา แฮร์ริส คือใคร? แคนดิเดตพรรคคนใหม่ หลัง ‘โจ ไบเดน’ ไม่ได้ไปต่อ

Home » กมลา แฮร์ริส คือใคร? แคนดิเดตพรรคคนใหม่ หลัง ‘โจ ไบเดน’ ไม่ได้ไปต่อ

กมลา แฮร์ริส -ปก-min

เปิดประวัติ “กมลา แฮร์ริส” สาวผิวที่แทนที่ โจ ไบเดน มั่นใจ! เสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อสู้กับ โดนัลด์ ทรัมป์

สืบเนื่องจากกรณีที่ โจ ไบเดน ได้มีแถลงการณ์ผ่านแพลตฟอร์ม X เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “เป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง ที่ได้รับใช้ในฐานะประธานาธิบดี และการตัดสินใจถอนตัว จะเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับพรรคการเมืองของผมและประเทศ” อีกทั้ง ยังมีการเสนอชื่อ “กมลา แฮร์ริส” ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตคนใหม่ ของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แทนตนเอง ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปนั้น

ด่วน! ‘โจ ไบเดน’ ประกาศถอนตัว ศึกชิงเก้าอี้เลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

มาทำความรู้จัก ประวัติ กมลา แฮร์ริส

กมลา แฮร์ริส เกิดเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2507 ที่เมืองออกแลนด์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรของนายโดนัลด์ แฮร์ริส นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ และพญ.ชยามาลา โกปาลัน แฮร์ริส

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโฮวาร์ด เมื่อปี 2529 และปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานฟรานซิสโก เมื่อปี 2532

กมลา-แฮร์ริส-1-min

กมลา แฮร์ริส เข้าสู่การเมืองได้อย่างไร ?

กมลา แฮร์ริส สร้างประวัติศาสตร์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 โดยกลายเป็นผู้หญิงคนแรกและคนผิวสีคนแรก และ เป็นชาวเอเชียคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ

กมลา-แฮร์ริส-2-min

ในเดือน พ.ย. 2021 เธอได้ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีเป็นเวลา 75 นาที ระหว่างที่ประธานาธิบดีไบเดนเข้ารับการตรวจร่างกาย

กมลา แฮร์ริส เกิดที่เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพ่อแม่เป็นผู้อพยพ แม่ของเธอเกิดในประเทศอินเดีย และพ่อของเธอเกิดในประเทศจาเมกา เมื่อเธออายุได้ห้าขวบ พ่อแม่ของเธอหย่าร้างกัน จากนั้นเธอได้รับการเลี้ยงดูโดยแม่ของเธอ ชยามาลา โกพาลัน แฮร์ริส ซึ่งเป็นนักวิจัยโรคมะเร็งและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน

กมลา-แฮร์ริส-7-min

กมลา แฮร์ริส เล่าว่า แม่ของเธอทำให้เธอและน้องสาว มายา ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนคนผิวดำในโอ๊คแลนด์อย่างเต็มที่

“แม่ของฉันเข้าใจดีว่าเธอกำลังเลี้ยงดูเด็กหญิงผิวดำสองคน” เธอเขียนในอัตชีวประวัติของเธอชื่อ ‘The Truths We Hold’ [อาจแปลเป็นภาษาไทยว่า “ความจริงที่เรายึดถือ”] เธอบอกต่อว่า “เธอรู้ว่าประเทศที่เป็นบ้านหลังใหม่จะมองมายาและฉันว่าเป็นเด็กหญิงผิวดำ และเธอตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำให้แน่ใจว่าเราจะเติบโตเป็นผู้หญิงผิวดำที่มั่นใจและภูมิใจในตัวเอง”

เธอเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาวเวิร์ด ซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยาลัยประวัติศาสตร์คนผิวดำที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ ที่นั่นเธอได้มีส่วนร่วมในประเด็นทางการเมืองต่าง ๆ เช่น การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้และความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา

กมลา-แฮร์ริส-4-min

เธอจบการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ฮาสติงส์ (University of California, Hastings) และทำงานในสำนักงานอัยการเขตหลายแห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2010

  • จยย. ฝ่าไฟแดง ไม่พอใจ ไล่ถีบรถหรู คว้าหินปาใส่กระจกรถ ก่อนหลบหนี
  • เพื่อนรักทรยศ! หลอกขออาศัยอยู่ด้วย ก่อนขโมยรถจยย.ใหม่เอี่ยม หลบหนี
  • ‘เท่าพิภพ’ เสนอปลดล็อก กม. คุมหนังโป๊ เซ็กซ์ทอย ย้ำ! ควบคุมไม่ใช่เสรี

เธอได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2016

ในปี 2020 นางแฮร์ริสได้รณรงค์เพื่อให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต แต่เธอถอนตัวออกจากการแข่งขันในช่วงแรก

อย่างไรก็ตาม เธอได้รับเลือกจากโจ ไบเดนให้เป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อ โจ ไบเดนกล่าวถึงเธอว่า “กมลาเป็นคนฉลาด แข็งแกร่ง มีประสบการณ์ และเป็นนักสู้ตัวจริง”

ทั้งสองคนร่วมกันเอาชนะประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีในขณะนั้น คือ โดนัลด์ ทรัมป์และไมค์ เพนซ์ ตามลำดับ แม้ว่าเธอจะมีบทบาทรองในช่วงการรณรงค์หาเสียง แต่ตัวตนของนางแฮร์ริสในฐานะผู้หญิงและบุคคลที่มีสีผิวอาจมีส่วนสำคัญในการชนะครั้งนี้ เนื่องจากทีมของพวกเขาได้รับคะแนนเสียงถึง 90% จากผู้หญิงผิวดำที่ไปลงคะแนนเสียง

กมลา แฮร์ริส ทำอะไรบ้างในฐานะรองประธานาธิบดี ?

ในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เธอยังดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาสหรัฐฯ และมีสิทธิลงคะแนนชี้ขาดเมื่อการลงคะแนนเสียงในร่างกฎหมายเสมอกัน เธอได้สร้างสถิติด้วยการใช้สิทธินี้ถึง 32 ครั้ง มากกว่ารองประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

โจ ไบเดนได้กล่าวถึงบทบาทของเธอในฐานะรองประธานาธิบดีว่า “กมลาจะเป็นเสียงสุดท้ายในห้อง ท้าทายสมมติฐาน และถามคำถามที่ยาก”

กมลา-แฮร์ริส-6-min

เธอมีชื่อเสียงมากขึ้นจากการเดินทางไปทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา เพื่อปกป้องสิทธิการเจริญพันธุ์หลังจากที่ศาลสูงสุดได้ยกเลิกคำพิพากษาคดี Roe v Wade ซึ่งก่อนหน้านี้ทำให้การทำแท้งเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองทั่วประเทศสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม คะแนนความนิยมของเธอในฐานะรองประธานาธิบดีนั้นต่ำตลอดระยะเวลาที่เธอดำรงตำแหน่ง โดยเฉลี่ยมีคนอเมริกันถึง 51% ที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของเธอ และมีเพียง 37% เท่านั้นที่เห็นด้วย ตามการสำรวจความคิดเห็นของ FiveThirtyEight

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ