กบ ทรงสิทธิ์ เผยเคยรักสาวในวงการ ผู้หญิงคนแรกที่เอ่ยปากบอกเลิก ไปต่อไม่ไหว

Home » กบ ทรงสิทธิ์ เผยเคยรักสาวในวงการ ผู้หญิงคนแรกที่เอ่ยปากบอกเลิก ไปต่อไม่ไหว


กบ ทรงสิทธิ์ เผยเคยรักสาวในวงการ ผู้หญิงคนแรกที่เอ่ยปากบอกเลิก ไปต่อไม่ไหว

กบ ทรงสิทธิ์ เล่าย้อนความรักเคยเสียน้ำตา ร้องไห้หนัก ถูกสาวนอกวงการหักอก หันมารักกับคนในวงการ เป็นผู้หญิงคนแรกที่เอ่ยปากบอกเลิกเอง ไปต่อไม่ไหว

เมื่อ กบ ทรงสิทธิ์ ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เปิดแบบหมดเปลือกทุกเรื่องราวของชีวิตครั้งสำคัญที่มาเป็น กบ ทรงสิทธิ์ ในทุกวันนี้ได้ก็เพราะ หม่อมน้อย พร้อมเผยเรื่องราวของหัวใจที่ทำให้ต้องเสียใจจนต้องเสียน้ำตา

 

 

วันที่เราใช้ชีวิตแบบป๋ามาก วันที่พี่กบรู้เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างไรเอ่ย เขาบอกตรงๆ ว่าเปรี้ยงเหมือนกับว่าฟ้าผ่าเปรี้ยง! ตกสวรรค์วันรุ่งขึ้นจบเลย? “จบเลยอย่างนั้นจริงๆ เพียงข้ามคืนเลย พอรู้เสร็จทุกอย่างก็ค่อยๆ คดีความก็ค่อยๆ มา คราวนี้เราก็รู้แล้วมันไม่มีเงิน ไม่มีเงินทำอย่างไร ก็รถสองคันก็ขาย ตอนนั้นถามว่าทำอะไรดีเที่ยวจนรู้ว่าทำอะไรดี เที่ยวจนรู้ว่าเปิดผับดีกว่า ก็เลยสองคนรวมเงินกันแล้วมาเปิดผับร้าน ถือว่าประสบความสำเร็จมากนะครับ ประมาณแค่ 6 เดือนเท่านั้นเองคืนทุนหมดเลย”

และนั่นแหละการเปิดร้านทำให้เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง? “ไม่คิดมาก่อนในชีวิตเลย เปิดร้านนี่แหละครับพอเปิดผับ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล (หม่อมน้อย) เปิดชั้นบน หม่อมน้อย ท่านก็ลงมาเดินเล่น แล้วช่วงนั้นหานักแสดงที่จะเล่นเป็นน้อง พี่ตั้ว ศรัณยู แล้วตอนนั้น พี่ตั้ว ผมยาว ผมก็ผมยาวรากไทรทรงใกล้กันแหละคือ ตัวสูง พี่ตั้ว ก็สูงกว่าผมนิดหนึ่ง”

 

นี่คือหม่อมน้อย มาติดต่อให้เล่นละครเป็นครั้งแรกเลยใช่ไหม? “ใช่ครับ แล้วที่มันเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งก็คือว่า คือเรื่องนี้เป็นพี่น้องสองคนกลับมาจากเมืองนอกมาเที่ยวผับแล้วชอบผับนี้มาก แต่ผับนี้มันกำลังจะเจ๊ง แต่ชอบสวย แล้วก็มีเปียโนผมก็ไปเล่นเปียโนแล้วก็ร้อง เพลง Desperado แต่คนที่เล่นเป็นเจ้าของผับจริงๆ ตอนแรกที่ติดต่อไว้คือ น้าแอ๊ด สมบัติ เมทะนี แต่ด้วยความกะทันหันอย่างไรก็ไม่รู้ ซึ่งพรุ่งนี้จะถ่ายแล้ว ทีนี้ หม่อมน้อย ก็บอกเองว่าคิวไม่ได้ก็เลยไปๆ มาๆ คิดไปคิดมาก็ออกที่ พี่แต๋ม ชรัส เฟื่องอารมย์ พอเป็น พี่แต๋ม เขาก็เห็นเราเล่นเปียโนร้องเพลง เขาเลยชวนเราไปร้องเพลงไปออกเทป ในที่สุดก็ได้มาเป็นนักร้อง”

 

ถามเรื่องหัวใจกันบ้าง กับรักแท้แพ้ระยะทางเป็นอย่างไรเอ่ย กับความรักครั้งนี้?“แฟนคนนี้คือตั้งแต่ ม.3 เจอกันที่โรงเรียนกวดวิชา แล้วเขาก็เรียนจบ แล้วเขาก็ไปเรียนต่อเมืองนอก แต่สมัยก่อนมันไม่เหมือนสมัยนี้อีเมล์ก็ยังไม่มีติดต่อยาก โทรศัพท์ก็แพง Airmail มีครับกระดาษสีฟ้าๆ เขียนแล้วก็พับอย่างนี้เบาๆ ซึ่งใช้เวลาหลายวันมากกว่าจะถึง คือด้วยแน่นอนมันถึงมีคำว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด เพราะความห่างไงครับ มันห่างจริงๆ สมัยนั้นไม่มีอะไรที่สื่อสารกันได้รวดเร็วเหมือนสมัยนี้”

แปลว่าเราเสียรักครั้งนี้ไปกับระยะทางห่างไกล? “อุ้ย ขนาดแต่งเพลงให้ด้วยนะ เพลง คิดถึงและเป็นห่วง คือ เราแต่งให้เขาเลยนะยังไม่รอดเลย (หัวเราะ) เลยได้เพลงเพราะมาหนึ่งเพลงแต่ว่าด้วยความไกล”

 

นี่คือ เขามีคนอื่นเหรอ? “ใช่ครับ ที่เรารู้เพราะว่าสายที่นู่นเราก็เต็ม คือเราเคยไปหาเขาด้วย แล้วเขาก็มีเพื่อนเราก็ไปเจอ อ้าว หน้าคุ้นๆ เด็กบ้านหม้อเหมือนกัน คือ ผมเกิดบ้านหม้อก็เลยรู้จักกัน แล้วก็เพื่อนคนนี้แหละที่ส่งข่าว ถามว่าเราเสียใจไหม ร้านมัสแตงที่ผมทำร้านแรกกระจกเยอะมาก ถึงขนาดแบบหยิบเก้าอี้มาแล้วก็อย่างกับใน Mv เลยครับ แต่เราไม่ได้ทำนะครับเสียดาย (ยิ้ม) ยั้งไว้ นึกขึ้นได้ว่าตื่นมาแล้วเดี๋ยวร้านจะเปิดไม่ได้ พี่ชายก็ด่าอย่าทำดีกว่าแล้วก็นั่งร้องไห้ ตอนนั้นนี่ อัสนี-วสันต์ เลยครับ เพลงร่ำไร จะบอกว่าได้ฟังนิดเดียวน้ำตาเราคือไหลออกมาเป็นทางเลยครับ”

แล้วเป็นนักร้องแล้วร้องเพลงขีดเส้นใต้ ตอนนั้นพอร้องแต่ละครั้งมันบาดลึกขนาดไหน? “มันได้ๆ”

แปลว่าตอนนั้นความไกลทำให้ พี่กบ วอกแวก แล้ว พี่กบ วอกแวกบ้างไหมจากความไกล? “โอ๊ย ไม่เหลือครับ แต่คือมันไม่เหมือนกันคือจริงๆ คือเห็นไหมผู้ชายในที่สุดมันก็เห็นแก่ตัว มันก็จะจึกจั๊กๆ แต่ถามว่าตัวจริงมีไหม ไม่มีแล้วก็ไม่เคยพาใครเข้าบ้าน คือลั้นลาแต่ไม่ใช่ตัวจริงเพราะว่าตัวจริงของเราอยู่ต่างประเทศ”

จากความรักครั้งนั้นอกหักเรียบร้อยแล้วมันนานไหมกว่าที่เราเริ่มฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของเราให้เราเดินหน้าได้อีกครั้ง? “ก็เดินไปสนุกสนาน แล้วคราวนี้ธรรมชาติลั้นลา คราวนี้ก็เริ่มมีนู่นมีนี่แล้วก็พอมาเป็น กบ ใสๆ ชีวิตก็เปลี่ยนแล้วก็มาเป็น เอกพล อีก สามหนุ่มสามมุม ปี 2534 พี่ชายคนโตขี้งก ขี้บ่น ประหยัดหัวโบราณจบ สายร็อกจบ”

หลังจากนั้นก็มีความรักกับคนในวงการ ไปเจอกันอย่างไรเอ่ย? “ไปถ่ายแฟชั่นครับ เพื่อนเดินทางไปถ่ายต่างประเทศ ถ่ายที่เนปาลแล้วก็มีนางแบบหนึ่งคน ซึ่งตอนแรกจะเป็น คุณหมิว ลลิตา เสร็จแล้วติดงานหรืออะไรสักอย่างก็ไปไม่ได้ก็ไปเป็น คุณอุ๋ม อาภาสิริ แล้วก็เจอกันที่ดอนเมือง ก็โดนที่รถเข็นสมัยก่อนเวลาเบรกมันก็แง๊บๆ เราก็จะช่วยเขาเข็นเขาก็แง๊บเข้ามือเป๊ะ อ้าว..ลางร้ายแล้วคิดตั้งแต่วันนั้นว่า เอ๊ะ มันมีอะไรแปลกๆ แล้วโดนหนีบมือพอหลังจากนั้นไปเจอกันที่นู่นก็ติ๊กๆ กลับมาก็จีบเป็นแฟนกัน”

 

 

เป็นแฟนกันหลายปีทีเดียวตอนนั้นทุกคนก็รู้ สุดท้ายทำไมไปต่อไม่ได้? “ทุกคนรู้หมดครับ ประมาณ 4 ปี ที่ไปต่อไปได้ คือ เคยตอนสักปีที่ 3 ก็เริ่มคุยกันแล้วว่า..เอ๊ะ มันไม่ไหว เพราะว่ามันมีอีจุกอีจิกเสียเยอะจนจะบอกว่าอย่างไรดี ทั้งเราก็ขี้โมโห เขาก็ผู้หญิงๆอย่างเช่น ไปกินข้าวที่ไหน แล้วแต่ กินที่นี่ไหม ไม่เอาแล้วแล้วแต่อย่างไร (ยิ้ม) แต่ตอนนี้เมียผมไม่เป็น ก็คือ มันมีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งอยู่ด้วยกันทั้งเขาทั้งเราจะปวดกระบาลมากจะเหนื่อยกันทั้งคู่”

“เราก็ไม่ใช่ว่าดีหรอกเพราะฉะนั้น ลองแยกกันไหมตอนช่วงปีที่ 3 ก็ลองแล้วเขาก็ไปเรียนไปนู่นไปนี่ แล้วเราก็กลับมาและพยายามแล้วก็ลองคบกันอีกสักพักจนเฮ้ย มานั่งคุยกันจริงๆ ว่าผมไม่เคยขอเลิกกับใครมาก่อนเลย นี่คนแรก แต่คุยกันดีๆ นะแล้วก็เลิกกันดีๆ แล้วเชื่อไหมหลังจากเลิกกันประมาณ 1-2 เดือนก็นัดกินข้าวกันแล้วเขาก็คุยกันเฮฮา นั่งกินข้าวกันสองคนทำไมตอนอยู่ด้วยกันไม่เป็นแบบนี้เพราะเขาจริงๆ ร้อยทั้งร้อยเลยคนที่รู้จักเขา เขาเป็นคนน่ารัก เขาเป็นคนสนุก เขาเป็นคนตลกแต่คงไม่ใช่กับแฟนเท่าไหร่”

ถ้าเป็นแฟนกันมันมีเรื่องของความคาดหวังเข้ามาเนอะ? “อะไรต่างๆ นานามันก็เป็นไปได้ พอเป็นเพื่อนกันปั๊บ มันเป็นพี่น้องกันเนี่ยทำไมมันสนุกจังเลยแฮปปี้ มีเรื่องตลกมีอะไรขำๆ ตลอดเวลา”

บางคนอาจจะเหมาะสำหรับการเป็นเพื่อนกัน? “ใช่ครับ”

 

 

ซึ่งช่วงนั่น พี่กบ ก็มาเต็มที่นะงาน ชื่อเสียงต่างๆ เริ่มสั่งสมเป็นที่รู้จักไปทั่วมากมายแล้วก็พร้อมๆ กันกับความเจ้าชู้ที่พอกพูนขึ้น? “ไม่พอกพูนเลยจะบอกว่า..หายไปเลย”

แล้วก็มาเจอรัก ที่หากันจนเจอแต่ทำไมต้อง 20 กันยายน? “ก็คือตอนนั้นเราคิดว่ากลางเดือนกันยายนเราเริ่มว่างแล้ว คือเราได้ดูคิวงานของเราวันสะดวกก็เลยนัดเขาแล้วก็อีกใจหนึ่งก็คือว่า นัดเนี่ยมีข้อดีก็คือว่าถ้าเขาไม่มีใจ เขาก็ไม่มาไง ถ้าเขามีใจ เขาก็มาเพราะอย่าลืมนะว่าตอนนั้นเราจีบเด็กไม่เรียกลุงก็บุญแล้ว ใช่ไหมในสายตาของเด็กเราก็ผู้ใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับวัดในกัน คือ ถ้าเขาไม่มาก็จบ”

แต่นี่คือเจอกันครั้งแรกเพิ่งรู้จักกันเลย แล้วก็บอกแบบนี้แล้วทิ้งห่าง 2 เดือนแล้วดูกันว่ามาไหม แล้วในระหว่าง 2 เดือนแล้วในสมัยนั้นมันไม่มีไลน์แปลว่า 2 เดือนนั่นคือเงียบกริบ? “ก็ไม่ได้ติดต่อเลย เราก็ไม่มีเบอร์เขาด้วย แต่ว่าเรามั่นใจว่าวันที่เรานัดเรามาแน่ๆ เพราะเราก็ปิ๊งเขาอยู่ แต่ว่าเราก็คือ ยังไม่ได้เริ่มคุย ซึ่งเราก็ไม่เคยจีบใครด้วยวิธีนี่นะครับ แต่เพราะปมไงครับ”

“ปมคือน้องไปเรียนเมืองนอกหรือเปล่า ถ้าน้องเรียนพี่จะได้ไม่จีบ คือ วันที่เรานัดเราก็ไปแล้วก็เห็นมา ถ้ามานี่มันมีใจไปครั้งแล้วอย่างน้อยๆ ก็อยากรู้จักแหละก็อยากรู้จักว่าไอ้เฒ่านี่เป็นอย่างไร (ยิ้ม) ก็คือคุยกันเราเริ่มจากวันนั้นก็คือเริ่มจีบเรียนรู้เขาแล้วก็อ๋อ ทำงานแชนแนลวียิ่งทำงานแชนแนลวี เราก็เริ่มรู้สึกแล้วเขาเข้าใจเขาทำงานแล้วมาปีกว่าๆ ก็อยู่ในวงการเดียวกัน แต่เขาอยู่ข้างหลังแล้วหลังจากนั้นระหว่างจีบๆ เป็นแฟนกันสักพักหนึ่งเขาก็ไปอยู่ แกรมมี่ แต่ว่าเขาอยู่ในโซนวัยรุ่นเขาอยู่ Teen Talk เขาก็ไม่เกี่ยวกับเราคือมีคนบางคนก็เฮ้ย เจอกันที่ตึกหรือเปล่าเปล่าเลย”

 

คุยกันแล้วถูกใจอะไรในตัวเขาคนนั้น? “ผมว่าเขาเป็นเด็กที่ ณ วันนั้นเนี่ยเรามองเห็นเขาว่าเป็นเด็กที่เข้าใจโลก เข้าใจอาชีพ เข้าใจว่างานคืองานแล้วก็ เราก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ยุ่งกัน คืออย่างเช่นเขาไปทำงาน จนถึง ณ วันนี้ งานเขาคืองานเขาไม่เคยยุ่งเลย นอกจากเขาจะมาขอคำปรึกษาเราจริงๆ หรือเรื่องบัญชี ซึ่งเขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเงินเขาก็จะมาถามเรา เราไม่ยุ่งกับเขา เขาไม่ยุ่งกับเรา คือชัดเจนเลยว่าผมไปร้องเพลงต่างจังหวัด หรือ ผมไปถ่ายละครไปเคยพาไปสักแม้แต่ครั้งเดียวและเขาก็ไม่เคยขอไปด้วยเลยสักครั้งครับ”

 

ตอนนั้นคบกันมานานแค่ไหนเอ่ยถึงจะแต่งงาน และการแต่งงานสำหรับ กบ ทรงสิทธิ์ เป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนในชีวิต? “คือจริงๆ ไม่ได้คิดจะแต่งงาน และก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ณ วันนั้นเฉยๆ ว่าแต่งไม่แต่ง แต่ เมื่อมองไปที่เขาแล้วมองไปที่เพื่อนๆ เขา คือรอบตัวเขารุ่นราวคราวเดียวกับของเขาเหลือไม่กี่คนแล้ว เราก็คิดว่าคงถึงเวลาแล้ว เราก็เกรงใจคบกันตั้ง 10 ปี มันถึงเวลาแล้วด้วย แล้วตอนนั้นเราก็อายุ 41 ปีแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าเขาไปงานแต่งงานเพื่อนบ่อย แต่เพื่อนเขาทยอยๆ จนแบบ เฮ้ย ..เขาคงอยากแต่ง เราเลยคิดว่าควรจะแต่งก็ตอนปีใหม่ปี ค.ศ.2008 เราก็ขอตอนปีใหม่”

 

บอกไม่เซอร์ไพรส์ไม่โรแมนติกแต่ตอนขอมีซีนไหม? “มีครับ (หัวเราะ) เขาช่วยกันก็คือทุกปีส่วนใหญ่ช่วงนั้นจะเล่นวินด์เซิร์ฟด้วย จะอยู่ทะเลเยอะเราก็จะไปอยู่บ้านเพื่อนที่หัวหิน แล้วก็เขาจะมีคอนโดฯ อยู่ที่หนึ่งเขาจะจัดปีใหม่ทุกปีก็มี 20-30 คน ทุกปีเราก็จะอยู่อย่างนี้ 2-3 ปีติดๆ กันก็เลยคิดว่าหลังจากสวัสดีปีใหม่ก็ขอซะเลยแล้วกันเราก็เตรียมแหวนไป แหวนนี่คือ อันนี้ง่ายสุดเพราะว่าเป็นแหวนแม่อยู่แล้วแม่เขาเลยจัดให้เป็น แม่เคยมีแหวนแต่งงานเป็น 3 เม็ด ผู้ชายสามคนลูกชายก็เอาไปคนละ 1 เม็ด แล้วเราก็เอาไปทำเรือนก็คือง่ายๆทำวงขาวเราก็เตรียมไป พอสวัสดีปีใหม่เสร็จแล้วก็ไม่มีแบบคุกเข่านะครับ เราก็แบบเอามือมาแล้วก็จับเอานิ้วใส่มือเขา”

แล้วร้องไห้อีกไหม? “ร้องสิครับ” (ยิ้ม)

สามารถชมคลิป ย้อนหลัง ได้ในรายการ CLUB FRIDAY SHOW ผลิตโดย CHANGE2561 ทางยูทูป

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ