กกต. ไม่รีบวินิจฉัยคุณสมบัติ ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ รอหลังเลือกตั้ง ต้องให้ความเป็นธรรม เผยมีผู้สมัครบัญชีรายชื่อฟ้องล้มละลาย เร่งหาข้อเท็จจริงเพิ่ม ก่อนส่งศาล
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. กล่าวถึงกรณีมีการร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือหุ้นสื่อ บมจ.ไอทีวี ว่า ตนยังไม่เห็นคำร้อง ซึ่งเรื่องนี้ร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติ มีขั้นตอนตามกฎหมาย มีอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนวันเลือกตั้ง ช่วงหลังวันเลือกตั้ง และช่วงประกาศผลการเลือกตั้ง
โดยก่อนการเลือกตั้ง ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 61 ถ้ากกต.ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าไม่มีคุณสมบัติ ให้ยื่นต่อศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 วัน แต่หากดำเนินการไม่ทัน หลังการเลือกตั้ง ก่อนประกาศผล ถ้าเห็นว่าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามลงรับสมัครรับเลือกตั้ง กกต.จะมีมติให้ดำเนินคดีอาญามาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติในการสมัคร แต่ยังลงสมัคร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะไม่เป็นเหตุให้นำไปสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง
ดังนั้น ต้องประกาศผลให้เป็นส.ส.ไปก่อน จากนั้นจะดำเนินการหลังประกาศผล มีรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งกำหนดช่องทางดำเนินการไว้ ทั้งให้ส.ส.หรือส.ว. เข้าชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือกกต.เป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
เมื่อถามว่าทำไมกกต.ไม่ยื่นให้ศาลฎีกาพิจารณาก่อนเลือกตั้ง เพราะถ้ายื่นหลังเลือกตั้ง จะมีผลกระทบมากกว่า นายแสวง กล่าวว่า ทุกอย่างมีกระบวนการที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา เมื่อมีเรื่องร้องเรียน สำนักงานจะรวบรวมพยานหลักฐาน ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อกล่าวหา ก่อนเสนอให้กกต.พิจารณา ซึ่งต้องใช้เวลา
อย่างวันนี้ (11 พ.ค.) หน่วยงานที่กกต. ขอความร่วมมือในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพิ่งส่งข้อมูลล่าสุดมาให้ พบว่ามีผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ คนหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่กกต. เห็นว่าจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรม และได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อน จึงให้สำนักงานไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า คำสั่งล้มละลายยังมีผลอยู่หรือไม่ และผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้อย่างไรหรือไม่ จากนั้น กกต.ค่อยมาพิจารณาเรื่องการยื่นต่อศาล จึงต้องแยกเรื่องกระบวนการให้ความเป็นธรรม กับผลกระทบออกจากกัน