.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
คุณแม่ลูก 2 ฮึดสู้ลดน้ำหนัก หลังน้ำหนักพุ่งเกือบ 100 กก. เลือกกินแต่เนื้อโดยไม่ออกกำลังกาย เผยผลลัพธ์หลังผ่านไป 6 เดือน แต่นักโภชนาการเตือนถึงความเสี่ยง
ปัจจุบันมีสูตรลดน้ำหนักมากมายบนอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ใช่ทุกวิธีจะเหมาะกับทุกคน ควรพิจารณาให้ดีและเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
แองเจลินา มารี แม่บ้านวัย 30 ปี จากมิสซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา และคุณแม่ลูกสอง ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำหนักตัวที่พุ่งขึ้นถึง 95 กิโลกรัม เธอตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสามารถลดน้ำหนักไปได้ถึง 27 กิโลกรัมในเวลาเพียง 6 เดือน
“กินแต่เนื้อ” ลดน้ำหนัก วิธีสุดขั้วที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนไม่ควรทำ
แผนการลดน้ำหนักของมารี ถูกผู้เชี่ยวชาญหลายคนขนานนามว่า “วิธีลดน้ำหนักสุดโต่ง” และไม่แนะนำให้ทำตาม สูตรนี้เคยเป็นที่รู้จักในเกาหลีใต้ในชื่อ “อาหารจักรพรรดิ” หรือ “กินแต่เนื้อ”
มารีค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับวิธีลดน้ำหนักผ่านสื่อต่างๆ และตัดสินใจเลิกกินอาหารแปรรูปและคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด โดยเลือกกินเฉพาะเนื้อสัตว์และดื่มแต่น้ำ โดยไม่ต้องออกกำลังกาย
เธอเผยว่า “หลังจาก 7 สัปดาห์ ฉันลดไป 5 กิโลกรัม มันเหลือเชื่อมากที่ได้เห็นตัวเลขบนเครื่องชั่ง!” และ “ผ่านไป 6 เดือน น้ำหนักฉันหายไป 27 กิโลกรัม”
เธอยังแชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนักของตัวเองบน TikTok และได้รับคำชมมากมายจากผู้ติดตาม
แม้จะเลือกกินแต่เนื้อ แต่มารีก็มีแผนการกินที่เข้มงวด โดยเธอกินเพียงวันละ 2 มื้อ ซึ่งประกอบด้วย เนื้อสัตว์ เธอมักจะงดอาหารตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงวันของวันถัดไป
มื้อแรกเริ่มที่เวลาเที่ยง โดยมักจะเลือกทาน ไข่เจียวผสมเบคอน หรือ หอยเชลล์ห่อเบคอน เมื่อรู้สึกหิวมารีมักจะเลือกเนื้อวัวแห้ง เป็นขนมขบเคี้ยว
มื้อเย็นเธอจะทาน ตอน 6 โมงเย็น แม้จะเลยเวลาอาหารแล้ว เธอก็จะทานก่อนเข้านอนประมาณ 3 ชั่วโมง เมนูในมื้อเย็นมักประกอบด้วย เนื้อวัวย่าง, หมูผัด, หรือปีกไก่ และรักษาความหิวไว้จนถึงมื้อกลางวันในวันถัดไป
ปัจจุบันหลังจากลดน้ำหนักสำเร็จ มารีเริ่มหันมาออกกำลังกายโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ และผลคือน้ำหนักของเธอเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แนะนำสิ่งที่ควรระวังเมื่อใช้วิธีการกินแต่เนื้อ
มารียังได้แชร์ถึงข้อควรระวัง เมื่อใช้วิธีการกินแต่เนื้อ โดยเฉพาะอาการไข้หวัดจากการกินเนื้อ ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับเฉพาะโปรตีนและไขมัน โดยขาดคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล เธอเตือนว่า คนที่ใช้วิธีนี้อาจประสบกับอาการต่างๆ เช่น ปวดหัว, ท้องเสีย หรือคลื่นไส้ และควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับอาการเหล่านี้
นอกจากนี้เธอยังแนะนำว่า ควรเลือกเนื้อแดงที่มีไขมันและโปรตีนสูง แทนที่จะเลือกเนื้อไก่
แม้ว่าการกินแต่เนื้อจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงเตือนถึงอันตรายที่ซ่อนเร้น
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี 2023 พบว่า การกินเนื้อมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การค้นพบนี้มาจากการติดตามข้อมูลของผู้คนมากกว่า 200,000 คน ตลอด 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่กินเนื้อแดงมากที่สุดมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้น 62% เมื่อเทียบกับผู้ที่กินเนื้อแดงน้อยที่สุด
มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ยังได้ศึกษาหัวข้อนี้เช่นกัน และพบว่าการกินเนื้อแดงมากขึ้น 50 กรัมต่อวัน ทำให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 18%
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยการแพทย์อินเดียนา สหรัฐอเมริกา ยังเตือนว่า การกินเนื้อมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต
มีกรณีที่รายงานในข่าวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่กินแต่เนื้อ และพบว่าระดับคอเลสเตอรอลสูงเกินไปจนไขมันเริ่มไหลออกจากมือของเขา
- ชายผู้กินแค่ชีส เนื้อวัว และเนยเป็นเวลา 8 เดือน เผชิญผลข้างเคียงที่น่าตกใจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เตือนว่าผู้ที่กินแต่เนื้ออาจขาด วิตามินซี และไฟเบอร์ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดโรค เลือดออกตามไรฟัน (โรคจากการขาดวิตามินซี) รวมถึงโรคอื่นๆ เช่น มะเร็ง
Daily Mail สรุปว่า แม้ว่าการกินเนื้อทั้งหมด อาจดูน่าสนใจ แต่การแยกแยะระหว่างเนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก และ เนื้อสด เช่น เนื้อย่าง เป็นเรื่องสำคัญ พวกเขาแนะนำว่าการกินอาหารที่สมดุล ซึ่งรวมถึงเนื้อไม่ติดมัน, นม, ไข่, ผลไม้, ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด เป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสุขภาพ
รู้จัก “Carnivore Diet” กินแต่เนื้อ ไม่แตะพืชผัก
Carnivore Diet หรือ “กินแต่เนื้อ” เป็นแนวทางการกินที่เน้นเฉพาะอาหารจากสัตว์เท่านั้น หมายความว่าอาหารหลักจะมีแค่ เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิด (เช่น เนยและชีสที่มีแลคโตสน้อย) โดย ตัดผัก ผลไม้ ธัญพืช และอาหารจากพืชทั้งหมดออกจากเมนู
หลักการของ Carnivore Diet
- อาหารหลัก: เนื้อวัว, ไก่, หมู, ปลา, อาหารทะเล, ไข่, เครื่องในสัตว์, ไขมันจากสัตว์, เนย, ชีส
- งดเด็ดขาด: ผัก, ผลไม้, ธัญพืช, น้ำตาล, ถั่ว, อาหารแปรรูป
- เครื่องดื่มที่แนะนำ: น้ำเปล่า, น้ำแร่, ชา, กาแฟดำ (ไม่มีน้ำตาล)