ได๋ ไดอาน่า วอนภาครัฐ อย่าจับหนูนะ ถ้าขอเอาผู้ป่วยมาแยกกักตัว

Home » ได๋ ไดอาน่า วอนภาครัฐ อย่าจับหนูนะ ถ้าขอเอาผู้ป่วยมาแยกกักตัว


ได๋ ไดอาน่า วอนภาครัฐ อย่าจับหนูนะ ถ้าขอเอาผู้ป่วยมาแยกกักตัว

ได๋ ไดอาน่า วอนภาครัฐ อย่าจับหนูนะ ถ้าขอเอาผู้ป่วยมาแยกกักตัว

เปิดใจพิธีกรสาว ได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ ในฐานะที่เป็นอาสาช่วยผู้ป่วยโควิดถึงเรื่องการประกาศปิดศูนย์พักคอย และสถานการณ์โควิดที่กระทรวง สาธารณสุข เตรียมประกาศเป็นโรคประจำถิ่น

1 มิย. นี้ จะถอดแมสก์กันแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง? “ต้องยอมรับเลยว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้เบาบางลงค่อนข้างที่จะมาก น่าจะเป็นจำนวนของผู้ที่ได้รับวัคซีนมากขึ้นเยอะ แต่ก็ยังมีคนที่ประมาท ช่วงนี้เป็นช่วงที่เปิดเทอมแล้วเคสที่เรารับมา จะเป็นการติดเป็นวงครอบครัว ในโรงเรียน

แต่ภาพรวมมันไม่ได้รุนแรงเหมือนช่วงแรกๆ ที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง แต่ตอนนี้ติดโอมิครอนอาการไม่หนักมาก ทางกระทรวง สาธารณสุขคงประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นเร็วๆ นี้ เป็นสัญญาณที่ดี เพราะว่าผู้ติดเชื้ออาการที่รุนแรงน้อยลงมาก

และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเศรษฐกิจไทยด้วย 2 ปีที่ผ่านมาเราทนทุกข์ทรมานมาก โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า ขายอะไรกันแทบไม่ได้เลยการที่ถอดหน้ากากเป็นสัญญาณที่ดี เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว พอเราถอดหน้ากาก มันก็เป็นการส่งสัญญาณว่า เราพร้อมที่จะเปิดรับทุกคน

เราก็เข้าใจด้วยว่าโควิดมันจางลง แต่มันไม่เคยหายไปไหน และมันก็คงอยู่กับเราไปเรื่อยๆ และยังคงต้องตรวจ ATK ไปเรื่อยๆ เราอยู่กับมันมานานควรรู้ว่าถ้าเป็นสถานที่ปิดควรใส่หน้ากาก

เราไปที่ไหนมา มันเสี่ยงไหม กลับบ้านไปเจอเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ยังเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการอย่างไรก็ตามเรายังต้องใส่ใจและดูแลกลุ่มที่เป็นกลุ่มผู้เปราะบางอยู่ นั่นคือเด็กๆ และกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย อาจจะเพราะด้วยฟังข่าวหรืออะไรก็ตาม ฉีดสักเข็มก็ได้ เพื่อป้องกันว่าถ้าเป็นแล้วอาการจะได้ไม่รุนแรง”

กังวลว่าจะมียอดผู้ติดมากขึ้น หลังจากถอดแมสก์ไหม? “มันคงติดเชื้อมากขึ้นกว่าเดิม แต่มันคงไม่มากกว่านั้นแล้ว เพราะว่าติดกันไปเยอะแล้ว ความสบายๆที่เราทุกคนมีอยู่ แต่ขอย้ำว่าบ้านไหนที่มีเด็กเล็ก และผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านกรุณาดูแลตัวเองขั้นสูงสุด

เพราะเราเคยเจอมาแล้วไม่เป็นไรเพื่อนกัน ไม่ต้องตรวจหรอก หรือบางคนสบายๆ จะไปปาร์ตี้กับเพื่อน ตรวจเมื่อวันก่อนแล้ววันนี้ไม่ต้องตรวจหรอก ไปกินข้าวด้วยกัน ปรากฏว่าไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ คนที่นั่งกินข้าวด้วยกันติดเชื้อไม่รู้ กลับบ้านไป ซึ่งที่บ้านมีเบบี๋อยู่ ปรากฏเบบี๋ติด เด็กปอดเขายังไม่แข็งแรงเต็มที่ แต่เขาต้องมาติดโควิด

ถึงแม้ว่าจะไม่บังคับให้ใส่แมสก์ แต่มันเป็นสามัญสำนึกของทุกๆคนว่า ถ้าเรารู้ตัวว่าเราติด เราต้องมีความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่คิดว่าโอมิคอนไม่รุนแรง คือเราไม่รู้ว่าภูมิต้านทานของแต่ละคนไม่เท่ากัน ก็อยากให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย และฝากถึงเจ้านาย ให้เข้าใจลูกน้องด้วย เพราะว่าเจอหลายเคสที่ไดเร็กต์มา บอกว่าถ้าไม่รีบหายเดี๋ยวเจ้านายจะไล่ออก อยากให้เข้าใจซึ่งกันและกัน”

คิดว่าจะมีดราม่าเรื่องการถอดแมสก์ ใส่แมสก์ไหม? “คงมีดราม่าแน่นอนว่าเยอะ ทำไมต้องใส่คนอื่นเขาถอดกันหมดแล้ว เราอยากให้มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าเขาเลือกที่จะใส่ เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขาเช่นกัน กับว่า ถ้าเขาไม่ใส่เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขาเหมือนกัน ไม่ใช่มาแบ่งทีมกัน”

อย่างเคสที่เราดูแลลดลงเยอะไหม? ลดลงเยอะมาก ช่วงพีกๆ ที่มีตกค้างอยู่ที่บ้านก็เป็นหลักพัน ตอนนี้เป็นหลักสิบ แบบที่มากสุดๆ ก็ประมาณ 30-40 ราย ซึ่งถือว่าน้อยมาก

ในฐานะที่เป็นอาสาช่วยผู้ติดโควิดมาตลอดรู้สึกเบาใจไหม? “เราทำงานกันมา 1 ปีนิดๆ ที่เราทำงานกันแบบ 24 ชม. ให้ทั้งตัวและใจจริงๆ พอเห็นสถานการณ์ดีขึ้นมันชื่นใจจริงๆ คนติดยังมีอยู่แต่อาการที่เป็นมันไม่หนักมาก แล้วพอมีการตรวจ ATK ก็เจอเร็ว พอเจอเร็วก็แยกตัวกันได้เร็ว มันก็จะได้ไม่แพร่ มันคือการร่วมมือกันของทุกคนจริงๆ”

มีเป้าหมายว่าเมื่อไหร่ที่เราจะหยุดโครงการของเรา? “ก่อนหน้านี้ศูนย์พักคอยของเรามีทั้งหมด 4 ศูนย์ เรารับผู้ป่วยได้พันกว่าคน มีบางช่วงที่ศูนย์เราเต็มหมดเลย แต่ตอนนี้เราปิดไปแล้ว 3 ศูนย์ อีกศูนย์จริงๆ มีกำหนดปิดแล้ว กำลังจะประชุมกับทีมงานว่าเราจะเอาอย่างไรกันต่อดี เพราะทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่แยกตัวออกจากที่บ้าน เราต้องเข้าใจว่าบ้านในประเทศไทยของเรา ไม่ใช่ทุกคนจะมีบ้านใหญ่ บางคนเขาอยู่หอพัก ใช้ห้องน้ำรวม

กำลังจะปรึกษากับทีมอาจจะขอทางภาครัฐว่า อย่าจับหนูนะ ถ้าหนูขอเอาผู้ป่วยมาแยกกักตัว คือที่เดิมที่เราเคยทำ แต่ทาง รพ.ต่างๆ ทุกภาคส่วนเขาถอนกำลัง ต้องเข้าใจว่าเพราะโควิด ผู้ป่วยโรคอื่นๆ เขาไม่ได้ผ่าตัด ไม่ได้หาหมอกันเลย ฉะนั้นทุกรพ. เขาต้องการกลับสู่สภาพเดิมที่เขาสามารถรับผู้ป่วยอื่นได้

เราเองสถานที่พร้อมอยู่แล้ว เราเลยอยากจะขอเปิดต่ออีก 1 เดือน เพื่อที่ดูช่วงปลายๆ อารมณ์เหมือนเลิกกับแฟน เราก็อยากดูว่าเขาไปดีหรือยัง เราไม่รู้ว่าอะไรยังไง ทุกวันนี้ก็ยังมีคนติดต่อมาบอกว่าขอพักได้ไหม ตอนนี้ไม่มีใครสนับสนุนอะไรเราแล้ว เราเลยต้องมานั่งคุยกันว่าเราไหวที่ตรงไหน อาจจะประมาณว่ามานอนได้ แต่ต้องช่วยกันหุงข้าวนะ คือเมื่อก่อนเรามีคนช่วยเป็นพันคน แต่ตอนนี้เราเหลือกัน 4-5 คน มันก็จะหนักหน่อย”

ฝีดาษลิง จะมาอีกแล้ว? “โควิดยังไม่จางหาย ฝีดาษลิง ก็จะมาอีกแล้ว พูดก่อนเลยว่าที่มีคนพูดว่า ฝีดาษลิง จะมีเฉพาะคนที่มีรักร่วมเพศเท่านั้น มองว่าตรงนี้ไม่ดี เราไม่ควรเอารสนิยมทางเพศมาผูกกับโรคใดๆ อีกอย่างโรคฝีดาษลิง บางคนดูว่ามันน่ากลัวกว่าโควิดอีก เพราะว่ามันเป็นแผล แต่มันไม่ได้ติดง่ายเท่าโควิด ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากนัก แต่ก็ต้องระวังตัว เพราะโควิดช่วงแรกๆ ยังมีคนมองว่าตลกใครจะติด แต่ผลที่สุดมันก็เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเข้าใจ รู้ว่ามันมีและระวังค่ะ”

ขอบคุณรูปจากไอจี : ladydna



แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ