ศึกซักฟอกครั้งสุดท้าย รัฐบาลอาการหนัก รัฐมนตรี กล่องดวงใจภูมิใจไทย เจอข้อหาซุกหุ้น “ผีผ้าห่ม” ขายหุ้นร้อยล้านให้ลูกจ้างเงินเดือน 9,000 แล้วเอา หจก.มารับงานคมนาคม รัฐมนตรีขุนพลเอกประยุทธ์ คนถูกระบุว่าเอากองทุนประกันสังคมไปซื้อหุ้นบริษัทไฟฟ้า แล้วบริษัทนั้นใช้บริษัทลูกย้อนมาซื้อหุ้นบริษัทเมียรัฐมนตรี จนราคา พุ่งปรี๊ดทั้งที่ขาดทุนยับ
รัฐมนตรีประชาธิปัตย์ท้าฝ่ายค้านอย่าหนี แต่ตัวเองลุกออกจากห้องประชุม หลังโดนกล่าวหาตั้ง “บริษัทผีปอบ” เอาสินทรัพย์การเคหะเข้าตลาดหลักทรัพย์ วันต่อมาค่อยชี้แจง ซึ่งก็พบว่าฝ่ายค้านถามไม่ตรงคำตอบ ผู้เกี่ยวข้องที่ฝ่ายค้านระบุชื่อ คนในตลาดหุ้นก็รู้ไส้รู้พุง ประวัติยาวเป็นหางว่าว
ยังไม่นับรัฐมนตรีดีอีเอส ถูก “เพื่อนอดีตภรรยา” อภิปรายจริยธรรม แม้องครักษ์รัฐบาลรุมประท้วงเป็นเรื่อง ส่วนตัว แต่อดีตภรรยาก็อยู่ในสภา อยู่พรรคเดียวกัน
แถมยังมีไฮไลต์เป็นไวรัล หัวเราะกันท้องแข็ง ประวิตรซัดทอดประยุทธ์ ทำรัฐประหารแต่ผู้เดียว อีก 2 ป.ไม่เกี่ยว อ้าวไหนว่า “ไม่ฆ่าน้อง” ทำไมให้การเป็นหลักฐานเอาผิดกลางสภา
ต้องปรบมือให้ฝ่ายค้าน ซึ่งสับขาหลอกตอกฝาโลง ทีแรกคนยังคิดว่าไม่น่ามีอะไรใหม่ กลายเป็นการอภิปรายที่มีทั้ง ทีเด็ดและเนื้อหา ในภาพรวมคือการบริหารล้มเหลว ทั้งเศรษฐกิจและโควิด “ขยะยุคควอนตัม” ทำเศรษฐกิจพัง นโยบายกัญชาเสรี ทุกคนเห็นด้วยแต่ไม่คิดว่าจะทำลกๆ ซกๆ อย่างนี้
รัฐบาลโต้อย่างไร จุติ ไกรฤกษ์ “พรรคของผมไม่เคยมีคดี ล้มล้างการปกครอง ไม่เคยมีคดีล้มเจ้า”
ประยุทธ์กล่าวหาอมรัตน์ “ก้าวล่วงสถาบัน” เตรียมต่อสู้คดีก็แล้วกัน นายกฯ สั่งตำรวจได้ นี่เท่ากับข่มขู่จะใช้อำนาจดำเนินคดี ทั้งที่ ส.ส.ก้าวไกลไม่ได้คัดค้านการประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ลพบุรี แต่ยกมาชี้ว่ามีการล็อกผู้รับเหมาก่อสร้าง เข้าไปทำงานล่วงหน้า อีกปีกว่าจึงเซ็นสัญญา
นี่ก็คล้าย ผบ.ทสส. ชี้แจงไม่เก่ง ขอเปิดเพลง 2 นาที ชูภารกิจกองทัพเพื่อสถาบัน ปิดปากกรรมาธิการงบประมาณ
รัฐบาลยังตอบโต้แบบ “ก้าวไม่พ้นทักษิณ” ประยุทธ์ 2 รอบ เอาคนเก่งกลับมาให้ได้ก็แล้วกัน, ฝ่ายค้านมีนั่งร้านแต่ไม่มีหัว หัวขาดไปแล้ว จุรินทร์ปัดไม่เกี่ยวทุจริตถุงมือยางองค์การคลังสินค้า ซึ่งโอนเงิน 2,000 ล้านเข้ากลีบเมฆ แล้วย้อนว่า อคส.ขาดทุนเพราะจำนำข้าว จุติก็เอาคดีบ้านเอื้ออาทรมากลบข้อหา “บริษัทผีปอบ”
ฟังแล้วทุเรศ โดยยังไม่ต้องถกเถียงว่าทักษิณ-จำนำข้าว ถูกเอาผิดอย่างไม่ยุติธรรม แต่การอ้างอย่างนี้เท่ากับ “ทักษิณเลวได้ เราก็เลวได้ แต่เลวน้อยกว่า” ประยุทธ์ซึ่งมาจากรัฐประหารและรัฐธรรมนูญคำถามพ่วง ตั้ง 250 ส.ว.โหวตตัวเอง มีสิทธิอะไรไปเย้ยทักษิณซึ่งถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง ถูกเอาผิดโดยองค์กรที่รัฐประหารตั้ง
ประยุทธ์และ 10 รัฐมนตรีจะได้รับมติไว้วางใจหรือไม่ เด็กอมมือก็รู้ แต่หลังจากนั้นจะดันทุรังอย่างไร อย่างน้อยก็ต้องปรับ ครม. แล้วยังจะได้รับความเชื่อถือจากประชาชนหรือไม่? ไม่จำเป็น
ระบอบประยุทธ์อยู่บนมวลชน 2 ส่วน ได้แก่สลิ่มหลับหูหลับตาตะโกน “จำนำข้าวๆๆ” กับมวลชนในระบบอุปถัมภ์ที่จำเป็นต้องพึ่งพานักการเมืองสามานย์บ้านใหญ่ ประยุทธ์พูดข้างถูตกคู ไม่ได้พูดกับประชาชนทั่วไป แต่พูดกับสลิ่มคลั่ง ให้เชื่อมั่นประยุทธ์เหนียวแน่น แม้สลิ่มมีไม่มากก็ไม่เป็นไร เพราะมีอำนาจทหารตำรวจกระบวนการยุติธรรม ไว้กดปราบคนต่อต้าน และทำให้คนที่อยู่ตรงกลางๆ หวาดกลัว
ด้วยอำนาจมหึมาที่หนุนหลัง ประยุทธ์ต้องการสลิ่มแค่ 1% ของประชากร แม้คนส่วนใหญ่เบื่อรัฐบาล แต่คนที่กล้าออกมาต้านอย่างมากก็ 2-3% ซึ่งโดนปราบโดนจับขังไม่ให้ประกัน “เชือดไก่” ให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าแสดงออก ทำตัวเป็นไทยเฉย ถึงเวลาเลือกตั้ง พรรคร่วมรัฐบาลที่สั่งสมโครงการงบประมาณลงพื้นที่ ก็ยังได้คะแนนเสียงไล่เลี่ย 50% แล้วไปตัดสินกันที่ 250 ส.ว.
รัฐมนตรีถูกแฉย่ำแย่แค่ไหน ระบอบอำนาจนี้ก็ยังอยู่ได้ ด้วยการอ้างแบบไตรรงค์ว่า ถ้าประยุทธ์แพ้ คนชั่วจะมีอำนาจ หรืออ้างแบบสลิ่ม พรรคล้มเจ้าจะเป็นใหญ่ แล้วก็ปู้ยี่ปู้ยำประเทศต่อไป
ข้ออ้างทั้งหลายใช้เพื่อค้ำอำนาจรัฐราชการ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรม ที่ได้อภิสิทธิ์ตอบแทนการใช้อำนาจควบคุมปราบปราม แบบได้รถเบนซ์ S500 ไว้ควบคุมสั่งการ ขณะเดียวกันก็แบ่งเค้กให้นักการเมือง ทำให้การเลือกตั้งถอยหลังไปสู่ยุคก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 ใช้เงินใช้ผลประโยชน์
ย้อนยุค 16 ปีสมัยพันธมิตรไล่ทักษิณแล้วขำขื่น พวก เสื้อเหลืองยุคนั้นคิดว่าตัวเองปกป้องระบบคุณธรรม ไล่นักการเมืองเลว สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคืออำนาจรัฐราชการกับนักการเมืองเดิมๆ โดยไม่สามารถเปลี่ยนได้
ไม่สามารถเปลี่ยนประยุทธ์ และไม่สามารถไล่นักการเมืองไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงไร