คอลัมน์ ใบตองแห้ง
เลี้ยงลูกไม่เป็นสามกีบ
“เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นเกย์” ชาวเน็ตขุดประวัติ พญ.ลลิตา ธีระศิริ ผู้เตือนเด็กรุ่นใหม่ว่าใครไม่เข้ารับปริญญา เจ้าของบริษัทจะไม่รับเข้าทำงาน พบว่าเธอเคยเขียนหนังสือขายดีเมื่อ 35 ปีที่แล้ว
แนวคิดในอดีตไม่ว่ากัน เพราะ “ยุคสมัยก้าวไปข้างหน้า สังคมเปลี่ยน” “ใครก็ตามที่ติดกับกงล้อประวัติศาสตร์ก็จะตกยุค” (ฮั่นแน่ ใช้ภาษาเก่าแก่ฟังคุ้นๆ)
พูดถึงปัจจุบันดีกว่า น่ามีคนเขียนหนังสือ “เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นสามกีบ” รับประกันเบสต์เซลเลอร์ ขอแนะนำ แต่พ่อแม่ทำตามได้หรือเปล่าไม่รู้
“เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นสามกีบ” บัญญัติข้อแรก อย่าสอนลูกให้ตระหนักถึงความเท่าเทียม เห็นคนเท่ากัน คิดว่าตนเองนั้นมีสิทธิเสรีภาพเท่าผู้อื่น ต้องเคารพสิทธิผู้อื่น และผู้อื่นก็ต้องเคารพสิทธิของตน
เห็นไหม แค่ข้อแรกก็ยากแล้ว สอนลูกยังไงให้คิดว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น หรืออยู่เหนือกว่าคนอื่น เด็กโตในสังคมสมัยใหม่ ให้ความสำคัญกับเสมอภาคเท่าเทียม ไม่เหยียดเพศผิวพรรณแบ่งชนชั้น รังเกียจอภิสิทธิ์ชน Privilege สิทธิพิเศษข้ามหัวชาวบ้าน พ่อแม่จะสอนอย่างไรไม่ให้ลูกคล้อยตาม
บัญญัติข้อที่สอง อย่าสอนลูกให้มีสำนึกดีงาม ทำเพื่อสังคม รักหมารักแมวรักสิ่งแวดล้อม บลาๆๆ เพราะลูกคุณจะพัฒนาไปเป็นคนรักความเป็นธรรม ที่มุ่งหวังเปลี่ยนแปลงสังคม ซึ่งอันตราย เพราะคนรุ่นใหม่ 80-90% เห็นปัญหาสังคมที่โครงสร้าง มีน้อยมากที่ยังเชื่อว่าจะเปลี่ยนโลกได้โดยวิ่งการกุศลรับเงินบริจาค
บัญญัติข้อสาม ฉะนั้นต้องสอนให้ลูกอยู่เป็น เห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง อย่าเป็น Active Citizen เพราะพวกสามกีบที่โดนจับโดนปราบโดยไม่คำนึงถึงอนาคตตัวเอง คือ Active Citizen ที่เป็นอนาคตของสังคมทั้งนั้น
แต่ระวังเน้อ สอนลูกเห็นแก่ตัวมากๆ มันจะไม่เห็นหัวพ่อแม่
บัญญัติข้อสี่ ห้ามปรามลูกอย่าให้เป็นคนเกลียดความเหลื่อมล้ำอยุติธรรม เกลียดการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ครูลงโทษเพื่อนไม่มีเหตุผลก็ให้สอพลอครู เพื่อได้คะแนน สอนลูกให้เป็นคนรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม แอบหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด ฯลฯ ตามคำพังเพยไทย ไม่งั้นโตไปเป็นสามกีบหมด
บัญญัติข้อห้า อย่าสอนลูกให้เกลียดคนโกง เพราะจะกลายเป็นเกลียดคนโกงอำนาจ กวาดต้อนนักการเมืองเลวมารับใช้ อย่างที่พ่อแม่ก็ทำตาปริบๆ อธิบายไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือบอกลูกว่า สังคมไทยเป็นเช่นนี้เอง ปากว่าตาขยิบ อยู่ในระบบอุปถัมภ์เส้นสาย พ่อแม่ทำธุรกิจทำราชการก็ต้องพึ่งพาผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นเรื่องที่ใครเขาก็ทำกันทั่วไป
นี่แค่ยกตัวอย่าง ยังมีอีกหลายข้อ เช่นอย่าซุบซิบนินทาอำนาจ ต่อหน้ากราบไหว้ ลับหลังนินทา ลูกไม่เข้าใจ สอนให้รักพ่อรักแม่ สำนึกกตัญญู รู้ค่าน้ำนม ลูกก็บอกว่าใช่แล้วไง พ่อกูแม่กูชื่อนี้ คนอื่นไม่ใช่ สอนให้มีหิริโอตตัปปะ ไม่ประพฤติผิดในกาม รู้จักพอเพียง ไม่ใช้จ่ายล้างผลาญ ฯลฯ ก็คิดเห็นตามที่พ่อแม่สอนทั้งนั้น ลูกผิดตรงไหน
พูดกันจริงๆ ต้องขอบคุณพ่อแม่ “สลิ่ม” คนชั้นกลางในเมืองเป่านกหวีด ที่สอนลูกให้เป็นสามกีบมากมาย เพราะสิ่งที่สอนไว้ ที่ปลูกฝังให้เคารพศรัทธา ย้อนไปทิ่มแทงอำนาจที่ตัวเองปกป้องทั้งสิ้น แต่น้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดอย่างไร หันไปโทษไอ้ทอนไอ้บูด นักวิชาการ โลกออนไลน์ ฯลฯ ทำให้ลูกตัวเองกลายเป็นพวกชังชาติ ดูหมิ่นลูกตัวเองคิดไม่เป็น
อันที่จริง คนที่ลูกออกไปม็อบก็เข้าใจ พ่อแม่คนชั้นกลางจำนวนมากเข้าใจดีว่าในโลกสมัยใหม่ ต้องสอนให้ลูกคิดเป็น คิดด้วยตัวเอง เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถอยู่รอดในโลก Disruption แต่หงายท้องกุมขมับเมื่อลูกไปไกลกว่าที่ตัวเองหวัง
พวกคลั่งส่วนใหญ่จะไม่ใช่พวกที่มีลูก Gen-Z เสียมากกว่า เป็นพวกตายายรอวันลงโลงแล้ว
ไม่อยากให้ลูกเป็นสามกีบก็ขอย้ำว่า อันดับแรก สอนให้อยู่เป็น รักษาเอาตัวรอด งดเคลื่อนไหวงดคอมเมนต์ เข้าใจระบบอุปถัมภ์ รู้จักทำมาหากินในสังคมเหลื่อมล้ำอยุติธรรม อย่างที่พ่อแม่ทำมา
ถ้าให้ดีกว่านั้น ก็สอนลูกเห็นแก่ตัว สอพลอ ตลบตะแลง หาผลประโยชน์ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีด้วยนะ ในยุคสมัยที่คนรุ่นใหม่ Active Citizen ส่วนใหญ่ไม่เอาอำนาจอนุรักษ์แล้ว ถ้ามีใครประทับตรา “คนรุ่นใหม่” โดดใส่เป็นกระบอกเสียงอำนาจเก่า รับรองเจริญรุ่งเรืองในสังคมไทย
“เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เป็นสามกีบ” ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่านะ เพราะการเคลื่อนไหว “ปฏิวัติทางวัฒนธรรม” แผ่ขยายกว้างขวางไปทุกวัน ต่อให้ทางการเมืองทางกฎหมายถูกกดถูกปราบ พ่อแม่ก็เหมือนรัฐ แต่พ่อแม่ควรตระหนัก
สิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสามกีบ คือคุณธรรมความดีงามที่คุณสอนเขานั่นเอง แต่ความรับรู้ต่อโลกต่อสังคมต่อปัญหาเชิงโครงสร้าง เขากว้างไกลกว่าคุณ