“สลิ่มเฟส 2” เป็นวาทกรรมฮือฮา “เชิญทัวร์” ทั้งที่รักที่ชอบ ที่ไม่ชอบ และยิ่งกว่าไม่ชอบ
ว่าที่จริง คำบรรยายนี้น่าสนใจ ในแง่ทัศนคติทางการเมือง และพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนชั้นกลางในเมือง เพียงมีข้อโต้แย้ง คำว่า “สลิ่ม” ต้องใช้กับความคิดอนุรักษนิยมสุดติ่ง หัวปักหัวปำ ทำลายล้างคนคิดต่าง จนหนุนรัฐประหารตุลาการภิวัตน์แบบกู่ไม่กลับ
สถานการณ์ปัจจุบัน น่าจะเรียกว่าคนชั้นกลางในเมืองเข้าสู่ “เฟส 2” คือเกิดพลังคนรุ่นใหม่เรียกร้องปฏิรูปโครงสร้าง พร้อมกับมีคนที่เคยหนุนรัฐประหาร “ตาสว่าง” เห็นผลร้าย จนหันมาสนับสนุนพรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตย เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเลือกก้าวไกล เพราะกลุ่มแรก “เคมีตรงกัน” ในความแหลมคม กลุ่มหลังยังไม่เชื่อมั่นทักษิณ-เพื่อไทย ที่เคยไล่มาก่อน
ซึ่งเป็นธรรมดา คนเคยไล่กัน แต่ในภาพรวมเป็นแนวโน้มที่ดี เพียงต้องระวังจุดอ่อนของคนชั้นกลางบางข้อ เช่นความเข้าใจการเมืองที่เป็นจริง
คนชั้นกลางตั้งแต่ 30 กว่าปีก่อน เป็นไปตามทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย รังเกียจนักการเมืองจากชนบท ไอ้พวกซื้อเสียง ระบบอุปถัมภ์ ปัจจุบันเรียกว่า “บ้านใหญ่” มีเครือข่ายดูแลทุกข์สุขประชาชน แก้ปัญหาเดือดร้อนเฉพาะหน้า หางบประมาณพัฒนาพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งแน่ละ ต้องลงทุนสูง ต้องหาผลประโยชน์ต่างตอบแทน ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อธุรกิจครอบครัว
คนชั้นกลางซึ่งมีอำนาจต่อรองอยู่แล้ว มีเครือข่ายของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งนักการเมือง จึงรังเกียจ ส.ส.โดยเฉพาะพวก ตจว. ใช้ภาษาแบบบ้านๆ ได้ว่า “งานบวชงานศพบ้านกู ถ้าไม่ใช่รักสนิทส่วนตัว ก็ไม่ต้องขึ้นรถตู้พาสมุนมา คิวทอดผ้ากูเยอะแล้ว ไม่ต้องมาวางหรีดรกหูรกตา”
คนชั้นกลางในเมืองก่อร่างเป็นพลังล้มรัฐบาล ตั้งแต่สมัยนักวิชาการเข้าชื่อเรียกร้องเปรมกลับบ้านเถอะ ไล่สำเร็จมาทุกยุค กระทั่งล้มรัฐบาลไทยรักไทยไม่ลง จึงเหวี่ยงไปหนุนรัฐประหาร หนุนอำนาจตุลาการองค์กรอิสระทำลายล้างศัตรูทางการเมือง
นั่นคือทัศนะที่ผิด ซึ่งพิสูจน์แล้วหลัง 5 ปีรัฐประหาร 8 ปีประยุทธ์
ถามว่าคนชั้นกลางรังเกียจนักการเมืองโกง อยากได้ ส.ส.คุณภาพ เลือก ส.ส.จากภาพลักษณ์ที่ดี จากการทำงานในสภา การอภิปรายแหลมคม นำเสนอไอเดียใหม่ๆ ฯลฯ อย่างนี้ผิดไหม
ไม่ผิดนะ ไม่ต้องอ้างประเทศอารยะว่าคนยุโรปก็เลือก ส.ส.แบบนี้ ตอนไทยรักไทยชนะเลือกตั้งปี 2544 ก็ได้คะแนนคนชั้นกลางชาวกรุงล้นหลาม เพราะเชื่อความปราดเปรื่องของอัศวินคลื่นลูกที่สาม และทีมงานพร้อมพรั่ง รายชื่อปาร์ตี้ลิสต์มีทั้งความรู้ความสามารถภาพลักษณ์
ก็เหมือนคนเลือกพรรคพลังธรรม หรือคนชื่นชมจาตุรนต์ ฉายแสง คนที่เห็นอภิสิทธิ์ออกทีวีเมื่อปี 2535 ความต้องการ “ดรีมทีม” ที่ไม่มาจาก ส.ส. จนรัฐธรรมนูญ 2540 ริเริ่มให้มีปาร์ตี้ลิสต์
ปัญหาสำคัญคือคนชั้นกลางในเมืองไม่เข้าใจไม่ยอมรับความลักลั่นเหลื่อมล้ำในการพัฒนา จนทำให้คนชนบทเสียเปรียบ จำเป็นต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ พึ่งโครงการรัฐ พึ่งนักการเมือง คนชนบทไม่ได้จนโง่ถูกซื้อ หรือถูกหลอกด้วยประชานิยม แต่ตัดสินใจด้วย “ผลประโยชน์” ว่าเลือกใครแล้วปากท้องอิ่ม ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
ด้วยเหตุนั้น พรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย จึงมีพลังเหนียวแน่น และอันที่จริง รัฐประหารสืบทอดอำนาจก็ช่วงชิงคะแนนเสียงด้วยการแจก อย่างบัตรคนจนบัตรผู้สูงอายุ
ทัศนะของคนชั้นกลางที่เลือก “นักการเมืองดี” มีคุณภาพ มีบทบาทโดดเด่นในสภา จึงไม่ผิดหรอก ถูกด้วยซ้ำ เพียงแต่อีกด้านหนึ่ง ต้องเคารพการตัดสินใจของคนชนบท เข้าใจความจำเป็นและความเป็นจริงที่ “ส.ส.บ้านใหญ่” จะยังครองพื้นที่ไปอีกนาน ตราบใดที่เขายังเป็น “ผู้ให้บริการ” ประชาชนได้ดีที่สุด
การจะแก้ไขปัญหานี้ต้องแก้เชิงระบบ หนึ่งคือ ทำให้พรรคการเมืองต่อสู้ด้วยนโยบาย เหมือนไทยรักไทยเพื่อไทยทำให้การเลือกพรรคสำคัญกว่าตัวบุคคล สองคือ แก้ไขระบบเลือกตั้งให้เป็น MMP หรือมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์มากขึ้น ไม่ใช่ถอยหลังไปเป็น “บ้านใหญ่ 400 เขต”
ในมุมกลับกัน คนที่ปกป้องโต้แย้งแทนการตัดสินใจของคนชนบท ก็ต้องระวังอย่ากลายเป็น “โรแมนติไซส์ชนบท” เสียจนปกป้องการเมืองเก่า ระบบอุปถัมภ์ กลุ่มก๊วน ซึ่งวันนี้ส่วนใหญ่อยู่ฝ่ายรัฐบาล หนุนอำนาจที่ทำลายประชาธิปไตย เราคงไม่ต้องการเห็น “บ้านใหญ่” ยึดครองเก้าอี้อีกร้อยปีถึงลูกหลาน แม้บอกว่า เขาก็ให้บริการประชาชนดีนะ
การเลือก ส.ส.คุณภาพ ไม่ใช่เรื่องดัดจริต เป็นเรื่องถูกจริตถูกรสนิยมตามครรลองประชาธิปไตย เหมือนคนชั้นกลาง Gen-Y รายหนึ่งบอกว่า ไม่ได้เกลียดเพื่อไทย แต่เลือกก้าวไกลเพราะ “เหมือนเลือกเพื่อนเข้าไปเป็นตัวแทนเรา”
พูดง่ายๆ คือไอ้ ส.ส.พรรคนี้มันมาจากคนชั้นกลางธรรมดา เหมือนเพื่อนเราญาติเราที่เจอหน้าทุกวัน มีทัศนคติ ค่านิยม รสนิยม ในทางเดียวกัน
แน่ละ วันนี้พรรคเพื่อไทยไม่มี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แต่เดี๋ยวก็คงวางตัววางนโยบายช่วงชิงคนชั้นกลาง เป็นธรรมชาติของการแข่งขัน เหมือนพรรคประชาธิปัตย์พรรคกล้าก็คงช่วงชิงกันอีกฝั่ง
แต่ในภาพรวม การที่คนชั้นกลางในเมือง พลิกมาหนุนพรรคฝ่ายประชาธิปไตย เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลสะเทือนอย่างมีนัยสำคัญ เพราะฐานที่มั่นของพลังอนุรักษ์คือคนชั้นกลาง แต่วันนี้สูญเสียคน Gen-Y Gen-Z ไปแล้ว
นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่น่ายินดี