ใครถือกฎหมาย? : การทรมาน "เดเลี่ยน แอตคินสัน" ที่สามารถเอาตำรวจเข้าคุกในรอบ 35 ปี

Home » ใครถือกฎหมาย? : การทรมาน "เดเลี่ยน แอตคินสัน" ที่สามารถเอาตำรวจเข้าคุกในรอบ 35 ปี
ใครถือกฎหมาย? : การทรมาน "เดเลี่ยน แอตคินสัน" ที่สามารถเอาตำรวจเข้าคุกในรอบ 35 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อสัก 30 ปีก่อน เดเลี่ยน แอตคินสัน คือนักเตะของทีม แอสตัน วิลล่า ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดกองหน้าไม่ต่างจาก อลัน เชียเรอร์, เลส เฟอร์ดินานด์ หรือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์

และหากคุณจะถามว่าทำไมทุกวันนี้ชื่อของเขาไม่โด่งดังเหมือนกับชื่อที่กล่าวมา? นั่นก็เป็นเพราะว่าเรื่องราวชีวิตของ เดเลี่ยน ได้สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของนักฟุตบอลในยุคเก่า ที่เมื่อถึงขาลง พวกเขาก็ดิ่งลงเร็วจนตัวเองก็รับมือไม่ทัน 

จากยอดกองหน้าที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ เดเลี่ยน มีชื่อบนพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับอีกครั้ง หลังจากที่เขา “เสียชีวิต” เพราะการทรมานโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับคำอ้างที่ว่า “เขาเป็นตัวอันตราย”

นี่คือเรื่องราวของคดีความที่ทำให้วงการกฎหมายและวงการตำรวจของอังกฤษต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ว่า แท้จริงแล้วพวกเขามีอำนาจและเป็นผู้ถือกฎหมายจริงหรือไม่ ? 

ติดตามได้กับ Main Stand

เดเลี่ยน แอตคินสัน.. และเรื่องจริงของชีวิตนักบอล 

นักฟุตบอลอาชีพในประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะระดับพรีเมียร์ลีกนั้น มักจะได้รับการยกย่องเสมอ ยิ่งเป็นนักเตะที่สามารถยิงประตูได้ดี มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ดแทบทุกสัปดาห์ พวกเขาจะโด่งดังและเป็นที่เชิดหน้าชูตา

1สิทธิพิเศษที่นักเตะเหล่านี้ได้รับเสมอ คือการดูแลใส่ใจในทุกๆที่ที่พวกเขาไป การต้อนรับที่อบอุ่น การให้เกียรติในสิ่งที่พวกเขาทำ และการเชิดชูพวกเขาดั่งฮีโร่ … ถ้าไม่ทำอะไรผิดจริง ๆ ก็แทบไม่มีใครมาล่วงเกินพวกเขาได้ เพราะไม่มีใครยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่ 

ทว่าชีวิตที่เหมือนอยู่จุดสูงสุดของปราสาท สามารถกลายเป็นภาพลวงตา เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเลิกเล่นขึ้นมา ถ้าไม่สามารถสร้างผลงานได้เด่นดังระดับตำนาน ชื่อของพวกเขาก็จะค่อย ๆ หายไป ผู้คนที่จดจำพวกเขาได้ก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ และเกียรติประวัติที่เคยสร้างไว้ … ก็จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง 

เช่นเดียวกับชีวิตของ เดเลี่ยน แอตคินสัน อดีตกองหน้าของ แอสตัน วิลล่า ในช่วงต้นยุค 90s ที่เคยถูกยกย่องว่าอยู่ในระดับเดียวกับ อลัน เชียเรอร์ เจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดในพรีเมียร์ลีกตลอดกาล 

ช่วงเวลาที่ เดเลี่ยน เล่นฟุตบอลนั้น เขาเติบโตมาในฐานะปีกดาวรุ่งที่เป็นความหวังของวงการฟุตบอลอังกฤษ จากเด็กฝึกหัดในอคาเดมีของสโมสร อิปสวิช ทาวน์ ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในช่วงปลายยุค 80s และยิงประตูได้ในระดับที่น่าพอใจ 18 ลูกจาก 60 เกม  

“สปีดของ เดเลี่ยน ทำให้ลูกฟุตบอลที่ออกจากเท้าของผมดูดีขึ้นเป็นกอง ผู้คนจะเห็นว่าลูกเปิดของผมสวยมาก แต่จริง ๆ แล้วก็สาดบอลไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ เพราะผมรู้ว่าเขาจะไปถึงบอลได้ก่อนใคร” เจสัน ดอซเซิล เด็กฝึกหัดของทีม อิปสวิช  ทาวน์ รุ่นเดียวกับ เดเลี่ยน กล่าวกับ BBC ถึงเรื่องราวในวัยเด็กของทั้งคู่

“เราสองคนโตมาด้วยกัน และถูกวางให้เป็นความหวังใหม่ของสโมสร ผมรู้ว่าเขาต้องการบอลที่จุดไหน ขณะที่เขาเองก็เร็วเหมือนกับขี่รถมอเตอร์ไซค์เตรียมจะบิดคันเร่งตลอดเวลา แค่เห็นผมได้บอล เขาก็รู้แล้วว่าได้เวลาออกวิ่ง” 

2หลังจากเล่นกับทีมม้าขาว ถึงปี 1989 รอน แอตคินสัน อดีตกุนซือของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ ณ เวลานั้นคุมทีม เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ในระดับดิวิชั่น 1 (อิปสวิช อยู่ ดิวิชั่น 2) ก็ได้ข่าวคราวเรื่องของ เดเลี่ยน และตัดสินใจมาดูฟอร์มด้วยตัวเอง เมื่อ แอตคินสัน เห็นผลงาน จึงสั่งสโมสรให้เซ็นเช็คเงินสดจำนวย 450,000 ปอนด์ ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับยุค 80s เพื่อเป็นค่าตัวของ เดเลี่ยน ในการลุยลีกสูงสุดของประเทศ 

เดเลี่ยน ได้เจอกับชีวิตที่โลดโผนหลังจากนั้น เขาทำผลงานได้ดีจากการโดนจับโยกไปเป็นกองหน้า ช่วงเวลานั้น รอน แอตคินสัน ถึงกับบอกว่า เดเลี่ยน ถือเป็นกองหน้าในเกรดเดียวกับนักเตะอย่าง อลัน เชียเรอร์, แอนดี้ โคล (กองหน้าผู้สร้างตำนานเทรเบิลแชมป์กับ แมนฯ ยูไนเต็ด) และ เอียน ไรท์ (อดีตสุดยอดดาวยิงของ คริสตัล พาเลซ และ อาร์เซน่อล)

“ถ้าคุณมีกองหน้าอย่าง เดเลี่ยน คุณไม่จำเป็นต้องกลัวการเล่นกับทีมใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล เลย เพราะยิ่งเกมใหญ่เท่าไหร่ ทักษะที่เขามีก็ได้โอกาสเอาออกมาใช้มากขึ้น” บิ๊กรอน ว่าไว้ถึงลูกทีมคนโปรดของเขา

ฟอร์มที่ดีมาตลอด พร้อมกับเงินที่มากโข เดเลี่ยน รับทรัพย์เข้ากระเป๋าและใช้ชีวิตแบบเซเลบริตี้ มีรถหรู แต่งตัวด้วยชุดแบรนด์เนม โดยเฉพาะหลังย้ายสู่ เรอัล โซเซียดาด ในปี 1990 ด้วยค่าตัว 1.7 ล้านปอนด์ พร้อมกับเป็นนักเตะผิวดำคนแรกของสโมสร ก่อนย้ายกลับอังกฤษอีกครั้งในปีถัดมา เมื่อ แอสตัน วิลล่า คว้าตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัว 1.6 ล้านปอนด์ 

นี่คือช่วงพีคของเขาโดยแท้จริง เพราะในฤดูกาล 1992-93 ซีซั่นแรกที่ลีกสูงสุดเปลี่ยนชื่อเป็น พรีเมียร์ลีก เดเลี่ยน สร้างตำนานด้วยการเลี้ยงจากฝั่งตัวเอง กินตัวผู้เล่นของ วิมเบิลดัน ไปทีละคน ๆ ก่อนฉวยโอกาสชิพบอลจากนอกกรอบเขตโทษเข้าประตูไปอย่างสวยงาม จนรายการ Match of the Day มอบรางวัลประตูยอดเยี่ยมของฤดูกาลนั้นให้  


ก่อนที่ในปี 1994 เดเลี่ยน จะยิงประตูเบิกร่อง ให้ วิลล่า ชนะ ยูไนเต็ด ในนัดชิงชนะเลิศลีกคัพที่สนามเวมบลีย์ … นี่คือชีวิตที่เด็กชายในอังกฤษได้แต่ฝัน 

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของนักฟุตบอลนั้นมีระยะเวลาความพีคในสนามและการทำรายได้สั้นมาก ๆ นักเตะในสมัยก่อนหมดสภาพไวกว่านักเตะปัจจุบันเยอะ พวกเขามีวินัยน้อยกว่า และได้รับการปลูกฝังในความเป็นมืออาชีพน้อยกว่ายุคนี้ เงินที่หามาได้ ถูกนำมาใช้จนหมดในระยะเวลาอันสั้น และเมื่อวันที่ขาลงมาถึง พวกเขาก็จะรับมือกับมันไม่ทัน เดเลี่ยน เองก็เป็นเช่นนั้น เพราะหลังจากพีค ๆ กับ แอสตัน วิลล่า เขาก็ถูกขายให้กับ เฟเนร์บาห์เช่ ในปี 1995 และหลังจากนั้นป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยกลับมาอยู่ในฟอร์มเดิมได้อีกเลย

ช่วงเวลานี้แหละที่จะวัดกันจริง ๆ ว่านักเตะที่ขึ้นไปยังจุดสูงสุด เมื่อถึงวันที่พวกเขาไม่มีสโมสรเล่น ไม่เก่งแบบเก่า เงินในกระเป๋าหายไปมากกว่าครึ่ง ขณะที่รายจ่ายยังคงเท่าเดิม พวกเขาจะสามารถรับมือกับการตกสวรรค์ได้หรือไม่ … ซึ่งว่ากันตามตรงสำหรับ เดเลี่ยน เขาสอบตกอย่างแรงเลยทีเดียว

ตกสวรรรค์ 

ช่วงเวลาแห่งการปาร์ตี้ได้จบลงแล้ว เดเลี่ยน แขวนสตั๊ดในปี 2001 หลังจากไปเล่นฟุตบอลในเกาหลีใต้ … มันชัดเจนว่าช่วงท้ายอาชีพนั้นเขาประสบปัญหาเรื่องรายได้อย่างหนัก จนต้องไปเล่นในเอเชียกับทีมอย่าง อัล อิติฮัด, แดจอน ซิติเซ่น และ ชุนบุก ฮุนได มอเตอร์ส ซึ่งไม่มีที่ไหนที่ประสบความสำเร็จในแง่ของผลงานเลย 

4เดเลี่ยน เข้าสู่สภาวะโรคซึมเศร้าหลังจากแขวนสตั๊ด ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีใครเข้าใจว่ามันคืออะไร การจะไปปรึกษากับใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย เดเลี่ยน จึงเริ่มจมลึกและฝังตัวเองกับเรื่องเศร้าภายในจิตใจ จนสุดท้ายมันกัดกินเขา เปลี่ยนจากนักเตะช่างพูดกลายเป็นนักบอลวัยเกษียณที่พูดติดอ่าง ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าคุยกับใคร

ปัญหาสุขภาพจิตเล่นงานลุกลามต่อไปถึงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สู่โรคความดันโลหิต และ โรคไต … ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เงินที่หามาได้ไม่เหลือแล้ว คนใกล้ตัวก็เริ่มจะรับมือกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเขาไม่ไหว จากยอดกองหน้า ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ไปเสียแล้ว

คาเรน ไรท์ แฟนสาวที่คบหาดูใจกับ เดเลี่ยน มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเตะ ยอมรับว่าช่วงที่เขายังเล่นฟุตบอลกับหลังจากแขวนสตั๊ดแตกต่างกันสุดขั้ว เดเลี่ยน กลายเป็นคนไม่มีเป้าหมายในชีวิต ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ บางวันเขาร้องไห้ บางวันเขาหัวเราะ และบางวันเขาก็พร้อมจะโมโหสุดเหวี่ยงใส่ทุกคนที่ขวางหน้าไม่เว้นแม้แต่หมอที่รักษาเขา และการยากจะควบคุมของ เดเลี่ยน พาเขามาถึงวันสุดท้ายของชีวิตแบบน่าเศร้า 

5หากเขาเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวและปัญหาสุขภาพ มันคงจะดีกว่าสำหรับตำนานของสโมสร แอสตัน วิลล่า รายนี้ เพราะอย่างน้อยนักเตะระดับโลกหลายคนก็จากไปด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน ทว่าการตกสวรรค์ของ เดเลี่ยน สร้างผลกระทบแม้กระทั่งวิธีการเสียชีวิตของเขา 

วันที่ 15 สิงหาคม 2016 เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเบอร์มิงแฮม ได้รับโทรศัพท์สายด่วนจากเบอร์ 999 (เบอร์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายของอังกฤษ) พวกเขารุดมาถึงที่เกิดเหตุและพบกับ เดเลี่ยน อยู่ที่สวนหน้าบ้านของพ่อเขา เดเลี่ยน ตะโกนด่าทอ และขู่จะเอาชีวิตคนในครอบครัว … เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ไปยังที่เกิดเหตุในวันนั้นมีชื่อว่า เบนจามิน มังค์ สั่งให้เขายกมือขึ้นและเตรียมจะจับกุม 

เรื่องราวหลังจากนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก เจ้าหน้าที่มังค์สามารถเข้าควบคุมเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยหยุด เดเลี่ยน ไว้ได้ … ทว่าไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เดเลี่ยน กลับเสียชีวิตที่โรงพยาบาล โดยผลนิติเวชชี้ว่า เกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน 

6หากเป็นสมัยที่ เดเลี่ยน เป็นนักเตะดัง เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน แต่นี่แหละคือชีวิตนักฟุตบอลยุคเก่า การไม่ได้เตรียมตัวสู่วัยเกษียณเปลี่ยนให้พวกเขาต้องเผชิญกับชีวิตที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอ เจ้าหน้าที่มังก์เขียนบรรยายเหตุการณ์ในวันนั้นถึงความโกลาหลที่ เดเลี่ยน สร้างขึ้น เขากำลังจะสังหารคนอื่นหากไม่หยุดเอาไว้โดยเร็ว แต่คำถามคือ ความจริงแล้ว เดเลี่ยน จะทำอะไรต่อจากนั้น เขาจะฆ่าใครได้จริง ๆ หรือ ? 

หลายคนอาจจะเชื่อแบบนั้น เมื่อเลิกเล่นฟุตบอล เดเลี่ยน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา ยิ่งมีปัญหาทางจิตแล้ว ทุกคนรู้ดีว่ามันยากจะควบคุม ทว่าครอบครัวของ เดเลี่ยน ไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาคิดว่า เดเลี่ยน ไม่ควรจะเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 

นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาแต่งตั้งทีมทนายและยื่นฟ้องร้องเพื่อต้องการตัดสินบนชั้นศาลเกี่ยวกับ “นาทีสังหาร” ที่พวกเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่มังก์ทำเกินกว่าเหตุและบันดาลโทสะ มากกว่าการพยายามหยุดผู้ต้องสงสัยตามที่เขาได้เขียนเอาไว้ในรายงาน

5 ปีกับการตามหาความจริง 

การเสียชีวิตของ เดเลี่ยน มีข้อสงสัยเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวของเขา เริ่มจาก คาเรน แฟนสาวที่คบหากันมานานบอกว่า ตำรวจคือคนพวกสุดท้ายที่ เดเลี่ยน อยากเห็นในวันที่เขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ เดเลี่ยน มีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมันส่งผลให้เมื่อเขาเห็นตำรวจ เขาจึงรู้สึกไม่ปลอดภัย เช่นครั้งหนึ่งเขาถูกตำรวจจับมาสอบสวน เพียงเพราะนั่งอยู่ในรถ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เท่านั้น 

7หากเขายังเป็นนักเตะดังนี่เป็นเรื่องปกติ แต่ในวันที่เขาหมดสภาพจากทั้งปัญหาทางจิตใจและร่างกาย การนั่งอยู่ในรถหรูของชายผิวดำเช่นเขา ก็กลายเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว 

ขณะที่พ่อของเขาที่อยู่บ้านในเหตุทะเลาะกันวันนั้น ก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนโทรแจ้งตำรวจแต่อย่างใด และไม่คิดว่าเรื่องนี้จะนำมาซึ่งความตายของลูกชาย สิ่งสำคัญที่เขาไม่เห็นด้วย คือวิธีการจับกุมของ เบนจามิน มังค์ ที่เหมือนกับเป็นการบันดาลโทสะมากกว่า 

เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นระบุจากการให้ปากคำว่า ในวันนั้น เดเลี่ยน ล้มกลิ้งลงกับพื้น และเธอเห็นเขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเตะเข้าที่ศีรษะอย่างน้อย ๆ 3 ครั้ง เหนือสิ่งอื่นใด คือการใช้ปืนช็อตไฟฟ้ายิงเข้าที่ท้อง พร้อมกับกดช็อตไฟฟ้าไว้นานกว่า 33 วินาที ซึ่งถือว่าเป็นการช็อตไฟฟ้าที่เกินมาตรฐานการจับกุมไปถึง 6 เท่า (ตามหลักจะใช้ปืนช็อตไฟฟ้าได้เพียง 5 วินาทีเท่านั้น) จนทำให้ครอบครัวเชื่อว่า การช็อตไฟฟ้านี้มีผลอย่างมากในการทำให้ เดเลี่ยน เกิดอาการหัวใจล้มเหลว

8เรื่องดังกล่าวกลายเป็นประเด็นในทันทีเมื่อมีการสอบสวนทุกคนที่เกี่ยวข้อง ในคืนนั้น เดเลี่ยน ไปที่บ้านน้องชายและเล่ากับน้องชายว่ากำลังจะเข้ารับรักษาด้วยการฟอกไตในวันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จธุระ เดเลี่ยน ก็ไปที่บ้านของพ่อของเขาต่อ ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ โดยพ่อของเขาเล่าว่าทั้งคู่มีปากเสียงกันเพราะ เดเลี่ยน คิดว่าครอบครัวไม่รักและทิ้งเขาให้อยู่ลำพัง จนเขาพูดขึ้นมาว่า “อยากจะฆ่าทุกคนในครอบครัว” 

อย่างไรก็ตาม พ่อของ เดเลี่ยน ทิ้งท้ายว่า นี่เป็นเรื่องปกติ เดเลี่ยน มักจะพูดเช่นนั้น แต่เขายืนยันชัดเจนว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ลงไม้ลงมือหรือแสดงตัวเป็นอันตรายอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหา ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องลงมือตามที่ได้กล่าวไป 

เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้มีการรื้อคดีจับกุม เดเลี่ยน แอตคินสัน ขึ้นใหม่ หนนี้เจ้าหน้าที่ มังค์ กลายเป็นคนที่ต้องถูกสอบสวนเสียเอง และให้การว่าท่าทางของ เดเลี่ยน แสดงถึงการ “ต่อสู้” เขาจึงจำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องคนรอบข้าง ด้วยการใช้ปืนช็อตไฟฟ้ายิงเพื่อหยุดอีกฝ่าย

9อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่พบจากการชันสูตรพลิกศพคือ หน้าผากของ เดเลี่ยน มีรอยเชือกรองเท้าอยู่ นั่นมีโอกาสอย่างมากว่าเขาจะโดนเตะเข้าที่หัวตามที่ผู้เห็นเหตุการณ์เล่า ในตอนแรก มังค์ ให้การว่าเขาจำไม่ได้ว่าเคยเอาเท้าเหยียบหัว หรือเตะเข้าที่หัวของ เดเลี่ยน หรือไม่ 

ทว่าหลังจากการไต่สวนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเขาก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนเตะ เดเลี่ยน ขณะที่เจ้าตัวกำลังนอนทรุดอยู่กับพื้นหลังจากถูกยิงด้วยปืนช็อตไฟฟ้าจริง ๆ แต่เป็นการเตะเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเป็นการเตะที่หัวไหล่  

“เท่าที่จำได้ ผมเตะเขาแค่ครั้งเดียว และเป็นการเตะที่หัวไหล่เพื่อหยุดเขา จังหวะนั้นเชือกรองเท้าอาจจะโดนหน้าเขาจนเป็นรอยได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น” มังค์ กล่าวในการให้การกับศาลเช่นนั้น ซึ่งเรื่องทั้งหมดฟังไม่ขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับคณะลูกขุน เมื่อพวกเขาได้หลักฐานจาก ดร.จัสมิต โซอาร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ ที่ให้การกับศาลว่า

“ชัดเจนว่าเกิดความรุนแรงขึ้นกับเขา การยิงปืนไฟฟ้าที่ยาวนานเกินกว่าเหตุ และการเตะที่หัวไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญในการส่งเขาไปสู่ความตาย สภาพของ เดเลี่ยน ในตอนนั้นย่ำแย่อยู่แล้ว และการโดนกระตุ้นหนักขนาดนั้น ก็ทำให้เขาทนมันไม่ไหว” 

ขณะที่ ดร.โอลาฟ เบียดซินสกี้ ได้ระบุถึงรอยฟกช้ำที่ร่างกายของ เดเลี่ยน เพิ่มเติมว่า มีจุดที่มีรอยมากกว่าที่หัวได้แก่ คอ, ไหล่, ต้นขา, ข้อศอก และหลักฐานสำคัญคือ มีรอยเลือดที่รองเท้าของเจ้าหน้าที่มังค์ โดย ดร.โอลาฟ ชี้ว่าทั้งหมดสอดคล้องกับการ “ถูกสัมผัส” อย่างรุนแรง

เมื่อหลักฐานทั้งหมดถูกเปิดออกมา คำพูดของเจ้าหน้าที่มังค์ที่บอกกว่าการฆ่าเกิดขึ้นเพราะป้องกันตัว ที่ทำให้เขาไม่โดนสอบสวนในตอนแรก ต้องถูกนำมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง และหนนี้ เขาถูกตัดสินว่าเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมจากการกระทำเกินกว่าเหตุ 

10คณะลูกขุนทั้ง 18 คน ฟังความบนชั้นศาลจนหมด และเชื่อมั่นในคดีนี้ว่าเป็นการบันดาลโทสะและเป็นการทำเกินกว่าเหตุของ เบนจามิน มังค์ และเขาสมควรได้รับความผิด ซึ่งจากการพิจารณาคดีในครั้งนั้นใช้เวลานานถึง 5 ปี เลยทีเดียว 

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนธรรมดาจะสามารถฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจและได้รับชัยชนะบนชั้นศาลเช่นนั้น โชคดีที่ครอบครัวของ เดเลี่ยน สู้คดีจนถึงที่สุด จนทำให้เจ้าหน้าที่ มังค์ ที่อ้างสิทธิ์ในการทำหน้าที่และจับกุม ต้องเจอกับความจริงที่ตัวเองไม่สามารถปฏิเสธได้ 

ขณะที่ เดเลี่ยน ก็จะถูกมองใหม่อีกครั้งแม้มันจะเอาชีวิตเขากลับคืนมาไม่ได้ แต่ในตอนแรกจากการนำเสนอและรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขากลายเป็นคนผิด และเป็นบุคคลที่มีอาการทางจิตเวท ยากจะควบคุม และการมอบความตายให้กับเขา คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์จะทำเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าพ่อทะเลาะกับลูก และคนข้างบ้านได้ยินเสียงดังจึงโทรแจ้งตำรวจเท่านั้นเอง 

คดีดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องออกแถลงการณ์ขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของ เดเลี่ยน พวกเขายอมรับความผิดและไม่มีการปกป้อง เบนจามิน มังค์ แต่อย่างใด เมื่อทุกอย่างชัดเจน พวกเขายอมส่งพนักงานในสังกัดเข้าคุกเป็นเวลา 8 ปี และถือเป็นการเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าคุกจากความผิดระหว่างจับกุมได้เป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปีของประเทศอังกฤษอีกด้วย 

11bustle.com เว็บไซต์เกี่ยวกับเรื่องราวคดีต่าง ๆ ในประเทศอังกฤษยกย่องให้การต่อสู้คดีนี้ของครอบครัว เดเลี่ยน และชุมชนใกล้เคียง คือจุดเปลี่ยนของวงการกฎหมายของอังกฤษ ต่อจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำงานยากขึ้นกว่าเดิมเยอะ พวกเขาต้องคำนึงถึงการรักษาสิทธิ์ของผู้ต้องสงสัย และที่สำคัญคือ พวกเขาต้องระลึกอยู่เสมอว่า แม้ตนเองจะเป็นผู้ถือกฎหมาย แต่ก็ไม่มีการยกเว้นให้เช่นกัน หากนำกฎหมายที่ตนเองถือมาใช้ในทางที่ผิด 

“เครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ใช่ภูมิคุ้มกันให้กับเจ้าหน้าที่ที่ประพฤติหน้าที่โดยมิชอบอีกแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีการนำกฎหมายและอำนาจมาใช้ในทางที่ผิด เราไม่เคยคิดดูถูกความเสียหายที่เกิดขึ้นกับใคร และคดีนี้จะช่วยให้เราเร่งพัฒนาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตำรวจในประเทศนี้ ให้ปฏิบัติกับทุกคนให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนผิวดำ เราจะทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของชุมชนกลับมา” 

ราเชล โจนส์ รองหัวหน้าตำรวจชุมชน กล่าวขอโทษกับครอบครัวของ เดเลี่ยน แอตคินสัน และหวังว่าการคุกคามประชาชนโดยใช้อำนาจในทางที่ผิดจะไม่เกิดเกิดขึ้นซ้ำในประเทศนี้อีก 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ