เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. รัฐบาลสหราชอาณาจักรรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดรายวันใหม่ 93,045 ราย เป็นสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 3 โดยมียอดผู้เสียชีวิต 111 คน โดยก่อนหน้านั้น ศ.คริส วิตตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของรัฐบาลได้ออกมาเตือนว่า สถิติผู้ติดเชื้อรายวันจะถูกทำลายอีกหลายครั้งในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ หน่วยงานด้านสุขภาพและความมั่นคงของสหราชอาณาจักรรายงานเมื่อวันศุกร์ว่าเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไปแล้ว เป็นสัดส่วนถึง 54% ของยอดผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หากเป็นเฉพาะในพื้นที่ลอนดอน มีอัตราส่วนถึง 80%
ล่าสุด บีบีซีได้เห็นเอกสารบันทึกการประชุมซึ่งหลุดออกมาซึ่งกลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉิน (Scientific Advisory Group for Emergencies – SAGE) ที่ให้คำปรึกษารัฐบาล ระบุว่า หากรัฐบาลไม่เพิ่มมาตรการรับมือกับโควิดมากกว่านี้ ในอังกฤษอาจมีคนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างน้อยวันละ 3,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีจำนวนแค่ระหว่าง 696 ถึง 815 คน
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไร นี่คือบทวิเคราะห์จากนิก ทริกเกิล ผู้สื่อข่าวสุขภาพบีบีซี
1. การระบาดใหญ่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน
ขณะที่เชื้อโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว สายพันธุ์เดลตาก็ยังไม่ได้หายไปไหน นั่นหมายความว่าเรามีโควิด 2 สายพันธุ์แพร่กระจายอยู่พร้อม ๆ กัน
นี่ยังเป็นช่วงแรก ๆ ที่สายพันธุ์ใหม่นี้กำลังระบาดแต่ดูเหมือนว่ามันแตกต่างจากตอนที่สายพันธุ์อัลฟาแซงหน้าโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม แล้วก็ตอนที่เดลตากลายมาเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศอีกที
มีแนวโน้มว่านี่เป็นเพราะโอมิครอนสามารถเอาชนะภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ได้จากการฉีดวัคซีนและที่เคยติดเชื้อมาก่อนหน้านี้ โควิด 2 สายพันธุ์นี้ไม่ได้แข่งขันกันแพร่เชื้อไปยังกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน
นั่นหมายความว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาค่อนข้างเสถียร เหมือนกับที่อังกฤษเผชิญมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน
แต่โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
มีความเป็นไปได้ว่าสายพันธุ์สองสายพันธุ์นี้จะแพร่ระบาดไปพร้อมกันอีกสักพัก แต่คาดกันว่าในที่สุดโอมิครอนจะเข้ามาแทนที่เดลตาเพราะว่าวัคซีนและผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะสามารถป้องกันคนจากการติดโควิดสายพันธุ์เดลตาได้
- วัคซีนจะยังใช้ได้ผลอยู่ไหมกับเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอไมครอน
- WHO เรียก โควิดกลายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ยกเป็นสายพันธุ์ “น่ากังวล”
- ต้องปรับวัคซีน mRNA อย่างไรให้รับมือโอมิครอนได้
2. จำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอังกฤษเตือนมาสักพักแล้วว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะสูงขึ้นมาก
แต่นี่เป็นจำนวนของคนที่ออกมาตรวจเชื้อเท่านั้น ตัวเลขที่แท้จริงจะสูงกว่านี้มาก
เชื้อโอมิครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ 2 วันแล้วตอนนี้ อย่างไรก็ดี การไม่มีระบบตรวจเชื้อที่มีประสิทธิภาพตอนที่การระบาดใหญ่เริ่มต้นทำให้เราเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อตอนนี้ไม่ได้
แต่หากผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ 2 วัน เมื่อถึงวันคริสต์มาส จะมีผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนถึง 6.4 แสนคน และหลังจากปีใหม่ก็จะกระจายไปมากกว่านั้น
แต่อย่างไรก็ดี เราจะไม่ได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเยอะขนาดนั้นถูกบันทึกลงเพราะว่ารัฐมีความสามารถในการตรวจเชื้อคนไม่ถึง 1 ล้านรายต่อวัน
อย่างไรก็ดี อัตราการติดเชื้อจะชะลอตัวลงอย่างที่เห็นสัญญาณลักษณะนี้แล้วในแอฟริกาใต้
3. ความเสี่ยงต่อสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS)
ยังไม่มีใครรู้แน่ว่าจะมีคนป่วยหนักหรือเปล่าจากเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน
ก่อนหน้านี้ มีสัญญาณบ่งชี้ว่าโอมิครอนทำให้คนป่วยอาการไม่หนักมาก เพราะว่าการติดเชื้ออีกครั้ง หรือการติดเชื้อหลังฉีดวัคซีน ไม่น่าจะทำให้คนล้มป่วยหนัก
อย่างไรก็ดี หากมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นเร็วอย่างที่เป็นอยู่ ก็จะมีคนถูกส่งต่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น แม้ว่าความรุนแรงจากไวรัสจะลดระดับลงครึ่งหนึ่ง ตัวเลขผู้ป่วยที่โรงพยาบาลต้องรองรับก็จะเยอะอยู่ดี
ล่าสุด กลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉิน (Scientific Advisory Group for Emergencies – SAGE) ที่ให้คำปรึกษารัฐบาล ระบุว่า หากรัฐบาลไม่เพิ่มมาตรการรับมือกับโควิดมากกว่านี้ ในอังกฤษอาจมีคนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างน้อยวันละ 3,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีจำนวนแค่ระหว่าง 696 ถึง 815 คน
เอกสารการประชุมที่หลุดออกมาระบุอีกว่า : “เวลาในการประกาศใช้มาตรการ[เพิ่มเติม]เป็นเรื่องสำคัญ …การเลื่อนเวลาออกไปจนถึงปี 2022 จะลดประสิทธิภาพของการใช้มาตรการเป็นอย่างมาก” และจะยิ่งทำให้สถานสาธารณสุขต่าง ๆ ได้รับความกดดัน
…………………..
ทำไมถึงยังไม่เพิ่มมาตรการ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นก็จะมีแรงกดดันให้ใช้มาตรการรับมือโควิดเข้มงวดขึ้น อาจจะถึงขั้นล็อกดาวน์อีกรอบ
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าการใช้มาตรการต่าง ๆ ไม่ได้จะหยุดการระบาดใหญ่ได้ มันแค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น
มาตรการต่าง ๆ สามารถถูกใช้ในการซื้อเวลาได้ อย่างการล็อกดาวน์เมื่อปีที่แล้วก็ช่วยให้รัฐมุ่งหน้าฉีดวัคซีนคนได้มากขึ้น
เมื่อตอนนี้ 80% ของกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุดได้รับวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 แล้ว การล็อกดาวน์จะมีประโยชน์น้อยลงมาก
ในแง่หนึ่ง การล็อกดาวน์อีกครั้งจะทำให้เกิดความเสียหายเท่าเดิม แต่อีกมุมหนึ่งก็อาจจะถือว่าหนักกว่าเดิมเมื่อพิจารณาเรื่องการงาน สุขภาพจิต และการศึกษา
เห็นได้ชัดว่าสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติกำลังประสบปัญหา แพทย์และพยาบาลกำลังต้องทำงานหนัก แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างกับเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้วมากที่เตียงในโรงพยาบาลกว่า 1 ใน 3 เป็นของผู้ป่วยโควิด แต่ตอนนี้มีผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลแค่ 8%
………………….
ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ข่าวสด เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว